7/17/2554

เกิดเป็นคนจนหรือมีก็ชีวิต

เกิดเป็นคนจนหรือมีก็ชีวิต จงใช้สิทธิตามเส้นทางที่วางไว้
เอาความดีตามเป็นเพื่อนคอยเตือนใจ ตราบชีพไร้ลาลับดับชีวัน
เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งคงอยู่คู่โลกนี้
คือความดีไม่เปลี่ยนแปรแม้ดับขันธ์
คอยตักเตือนเป็นเพื่อนเราเฝ้าสัมพันธ์ ทุกคืนวันจงสรรสร้างแต่ความดี
เอาความดีเป็นแกนกลางทางชีวิต เอาความคิดเป็นเครื่องช่วยอำนวยผล
เอาแรงกายเป็นกลไกภายในตน นี่คือคนมีคุณค่าราคางาม

เยาวชนทั้งหลาย พวกเราทั้งหลายคงได้เคยมีโอกาสไปในงานศพ
ถ้าพวกเราไปในงานศพเราจะได้พบกับสิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งมีไว้ใช้ในงานศพ
สิ่งนั้นได้แก่ด้ายสายสิญจ์ ด้ายสายสิญจ์มีไว้ผูกศพ
และจะมีบุคคลกลุ่มหนึ่งคอยชักจูงศพไป จูงศพไปทางซ้าย ศพก็จะไปทางซ้าย
จูงไปทางขวาศพก็จะไปทางขวา จูงไปในทิศทางใด ศพก็ไม่เคยปฏิเสธ
ไม่เคยขัดขืนกับบุคคลที่จูงศพไป เพราะเหตุว่าศพไม่มีชีวิต
ไม่มีความรู้สึก ไม่มีวิญญาณ ศพจึงไม่ขัดขืน ไม่ปฏิเสธ
ไม่ต่อต้านต่อบุคคลผู้ลากจูงไป ศพจะไปตามความปรารถนาของเขา จนในที่สุด
ศพก็ต้องถูกจูงไปสู่เชิงตะกอน อันเป็นที่พักพิงสุดท้าย
เยาวชนทั้งหลาย ถ้าหากว่าเรามองดูชีวิตของเราแล้วนำมาเปรียบเทียบกับศพ
ชีวิตของเราที่เกิดมา เราไม่ใช่ศพที่ไร้วิญญาณ เราเป็นผู้ที่มีชีวิต
มีความรู้สึก มีความนึกคิด มีความต้องการมีจิตวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนี้
เหตุไฉน เราจึงยอมให้บุคคลอื่นชักจูงเราไปบนเส้นทางที่เขาต้องการ
ไปในเส้นทางที่ไม่ดีดังที่เขาต้องการ
ทำไมเราจึงไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
ถ้าหากว่าเราเองมาย้อนดูสังคมในปัจจุบันนี้
ปัจจุบันนี้สังคมที่เราอาศัยอยู่กำลังมีปัญหา ด้วยเหตุว่า
ทุกคนในสังคมเรากำลังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คอยเอารัดเอาเปรียบ
กอบโกยเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว มีแต่ความอิจฉาริษยา
โดยไม่หวังให้บุคคลอื่นได้ดีกว่าตน เมื่อเป็นเช่นนี้
ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสังคมที่มีผู้คนมากมายเพียงใด
เราก็เปรียบเสมือนมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง โดดเดี่ยว
ในขณะเดียวกันที่เรานั้นเจอปัญหา มีปัญหาอุปสรรคเข้ามาในชีวิต
เราย่อมมีความต้องการใครสักคนหนึ่งคอยเป็นแสงสว่าง
คอยเป็นเครื่องนำพาชีวิตของเรา คอยเป็นกำลังใจให้เรา
เยาวชนทั้งหลาย จริงอยู่
คนเราทุกคนเกิดมาล้วนแต่มีปัญหาและอุปสรรคทั้งนั้น
ปัญหาบางอย่างเป็นปัญหาที่เรานั้นก่อมันขึ้นมาเอง
ปัญหาบางปัญหาบุคคลอื่นนำมาให้เรา
เราก็ต้องคอยแก้ปัญหาที่คนอื่นนำมาให้เราด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว
เพื่อนร่วมงาน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว
ตลอดจนปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม มีมากมายเหลือเกิน
ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตของเรา นับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้น
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งแก้ ยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
จนไม่มีที่สิ้นสุด
เยาวชนทั้งหลายจริงอยู่ชีวิตของทุกชีวิตที่เกิดมา คนเราที่เกิดมา
คนเราที่มาล้วนแล้วมีความหลัง มีความปรารถนา
หวังให้ชีวิตของตังเองได้พบแต่ความสุข
ปรารถนาให้ชีวิตของตัวเองได้พบความสุข
ปรารถนาให้ชีวิตของตัวเองเข้าไปสู้จุดหมายที่ตนหวังไว้
แต่นี้ขณะเดียวกันบนเส้นทางที่เรากัาวเดินต้องแบกรับภาระเผชิญปัญหามีความทุกลุมเข้ามาในชีวิตทุกขณะ
ความทุกเพื่อความพลัดพรากจากสิ่งที่อันเป็นที่รัก
ความทุกข์ที่ประสพกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก
ทุกข์เพราะการแสวงหาทุกข์เพราะการรักษาสิ่งของที่เรารักและหวงแหน
ความทุกข์มากมายมีเข้ามาในชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตของเราที่ก้าวเดินไปไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง
ยิ่งไกลยิ่งห่างจุดหมายที่ปรารถนาห่างไกลไปทุกขณะๆ
เยาวชนทั้งหลาย
ดูเหมือนว่าชีวิตของเรานั้นไร้ซึ่งจุดหมายปลายทางเหมือนกับการที่เราตั้งความหวังไว้ข้างหน้า
แล้วเราต่างก็วิ่งไปหาสิ่งที่เราหวัง
ความหวังเหล่านั้นยิ่งดูเหมือนไกลห่างออกไปทุกที ๆ เมื่อเปรียบเทียบแล้ว
ชีวิตของเราก็ไม่ต่างกับบุคคลที่ตกอยู่ในความมืด เช่นเดียวกับเราขณะนี้
ที่ตกอยู่ในความมืดลับจนแสงสว่างซึ่งเป็นเครื่องนำพาชีวิตของเรา
ชีวิตที่ต้องตกอยู่ในความมืดเป็นชีวิตที่น่าหวาดเสียว
เป็นชีวิตที่ตกอยู่ในความลำบากในขณะเดียวกัน
เราเองที่ตกอยู่ในความมืดเหลียวไปทิศทางใดได้พบแต่ความมืดไร้ซึ่งแสงสว่าง
เพราะความกลัว ความน่าสะพึงกลัวต่าง ๆ ภัยอันตรายต่าง ๆ
มักเข้ามาอยู่กับความมืดเสมอ ชีวิตของเรานั้นเช่นกัน
ถ้าตกอยู่ในความมืด บนเส้นทางที่เราก้าวไป เราจะเหลียวก้าวไปทิศทางใด
เราต้องพบแต่ความมืดเราจะเหลียวไปทางด้านซ้ายและจะก้าวไปด้านซ้าย
เส้นทางด้านซ้ายที่เราจะก้าวไปก็อาจมีหุบเหวลึกอาจทำให้เราพลัดตกลงไป
ทำให้เรานั้นบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายได้
ถ้าเราหวาดระแวงไม่กล้าไปทางซ้ายเราจะย้ายไปทางขวาเล่า
เส้นทางด้านขวาก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
เราจะก้าวเดินไปทางหน้าเส้นทางข้างหน้าที่เราจะก้าวเดินไปอาจพบกับสัตว์ร้ายนา
ๆ ชนิดที่นอนขวางกั้นเส้นทางที่เราก้าวเดินอาจนำความอันตรายแก่ชีวิตเราได้
เยาวชนทั้งหลายเพราะชีวิตที่ตกอยู่ในความมืดเป็นชีวิตที่น่าหวาดกลัว
ไม่กล้าก้าวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งหันหลังเดินย้อนกลับเส้นทางเก่า
ชีวิตของเราที่ล่วงกาลผ่านวัยมา
และบนความหวังความปรารถนาที่เราตั้งไว้คงยิ่งไกลห่างตัวเราออกไปทุกทีๆ
ชีวิตของเราคงไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนถ้าเราหวาดกลัวที่จะก้าวไปไม่แน่ใจไปในทิศทางใดและหยุดอยู่กับที่อย่างไร
ชีวิตที่ต้องหยุดอยู่กับที่ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการยืนรอความตายที่จะเข้ามาถึงที่จะเขัามาถึงในอีกไม่ช้าข้างหน้านี้
ยามเมื่อโลกขาดแสงแห่งอาทิตย์ ย่อมมืดมิดมองอะไรก็ไม่เห็น
ยามเมื่อจิตขาดปัญญาพาลำเค็ญ มองไม่เห็นดีหรือชั่วที่ตัวทำ
เยาวชนทั้งหลายเช่นเดียวกัน 2500
กว่าปีบนความมืดที่สัตว์โลกทั้งหลายไม่สามารถที่จะมองเห็นหนทางในการดำเนินชีวิต
พระผู้มีภาคเจ้า
ได้จุดแสงสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดเพื่อจะส่องแสงสว่าง บัดนี้ 2500
กว่าปี พระผู้มีภาคเจ้า
พระองค์ได้จุดขึ้นมาเพื่อให้สัตว์โลกทั้งหลายได้มองเห็น
วิถีในการดำเนินชีวิต
••
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
และความสุขแก่ชนทั้งหลาย จงแสดงธรรมให้งามทั้งในเบื้องต้น ในท่ามกลาง
และในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์
คือแบบอย่างแห่งการประพฤติปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง
ให้ถึงพร้อมด้วยอรรถะและพยัญชนะ บุคคลผู้มีกิเลสตัณหาเบาบางยังมีอยู่
หากเขามิได้ฟังธรรมนั้นแล้วก็จะเสียประโยชน์ใหญ่หลวง
บุคคลจำพวกนี้แหละจักฟังธรรมและจักเข้าใจธรรมอย่างแจ่มแจ้ง
จงไปทางเดียวรูปเดียว แม้เราตถาคตก็ไปเพื่อแสดงธรรมเช่นเดียวกัน
แสงเทียนส่องสองพันปีที่พ่อจุด คงสิ้นสุด สูญแสง แล้วพ่อหนา
ลูกเอ๋ย หากสูเจ้า เขลาปัญญา อีกไม่ช้า เทียนคงดับ
ทับคัมภีร์
แสงพระธรรมล้ำประเทือง เรืองส่องหล้า ส่องแสงจ้า กว่าแสงสูรญ์จำรูญศรี
ฉายแสงฉาด สาดแสงฉาย ไร้ราคี แสงระวี ศรีธรรมา งามราวรรณ
แสงระยิบ พริบระยับประดับโลก สิ้นวิโยค โศกวินาศ ปราศโมหันธ์
แสงประเทือง เรืองส่องหล้า มานานวัน ถึงสองพัน ห้าร้อยกว่า พรรษากาล
จงสืบแสงแรงใจเสริมเติมใจสู้ เติมใจรู้ เติมใจภักดิ์
รักษ์สืบสาน
ให้แสงนี้ มีสีสัน นิรันดร์กาล สืบตำนาน งานของพ่อ
ทอแสงธรรม
บัดนี้ได้มีคณะอาจารย์ตั้งเป็นตัวแทนเป็นสมมติสงฆ์ได้นำเอาธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้นำมาจุดขึ้น
ณ สถานที่แห่งนี้เพื่อที่จะให้เธอทั้งหลายและบุคคลผู้หวังแสงสว่างในการดำเนินชีวิตได้มีแสงสว่างที่จะก้าวเดินไปให้ก้าวไปสู่จุดหมายของตัวเอง
บัดนี้แสงสว่างอันนี้ คือแสงสว่างแห่งธรรมะ
ถ้าหากบุคคลที่มีความหวังดีได้แนะนำเอาแวสงสว่างที่ท่านถืออยู่ในมือนำไปมอบให้ผู้ที่ตกอยู่ในความมืดที่กำลังคอยแสงสว่างมาถึงบุคคลที่นำเอาแสงสว่างอันนี้มอบให้กับพวกเราพวกเธอทั้งหลายที่มีดวงเทียนที่ไร้ซึ่งแสงสว่างจะน้อมรับเอาแสงสว่างอันนี้หรืดไม่ก็สุดแล้วแต่พวกเธอเพราะชีวิตเป็นของพวกเธอหากเธอไมรับไว้เธอก้ตกอยู่ในความมืดอย่างไม่มีมที่สิ้นสุด
ถ้าหากเธอเป็นผู้ฉลาดเป็นผู้มีสติปัญญาดีเธอคง
ปฏิเสธแสงส่วางที่บุคคลมีความหวังดีหยิบยื่นให้ด้วยความสำนึกของบุคคลผู้นั้นอย่างแน่แท้
แสงสว่างอันนี้จะมีค่าเมื่อถูกจุด
เช่นเดียวกับแสงสว่างแห่งดวงเทียนจะมีคุณค่าก็เมื่อบุคคลนั้นเป็นผู้มีตาดี
แสงสว่างไม่มีค่าเลยเมื่อบุคคลนั้นเป็นคนตาบอด
เปรียบชีวิต เฉกเช่นความมืด โยงใยยื้อแย่งแข่งความฝัน
จุดเทียนส่องสว่างกลางใจพลัน แสงเทียนนั้นส่องพิสุทธิ์ดุจแสงธรรม
เทียนที่จุดหมดไส้เมื่อไรดับ เมื่อเทียนกับชีวิตไม่ผิดผัน
อายุน้อยย่อยยับกับคืนวัน ลับล่วงพลัน ผันแปรไม่แน่นอน
ดุจแสงจ้า แจ่มจรัสกลางอาทิตย์ ทีละนิดวับวาว และวาบหวาม
เกิดแล้วดับ สลับไปไม่เว้นยาม อย่าหลงตาม เงาอัตตา เป็นบ้าไป
(เพลงสุรนารี เทียนพันเล่ม)
ดวงเทียนดวงนี้จะมีค่าเมื่อถูกจุด
เช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์เมื่อเกิดขึ้นเมื่อเกิดขึ้นจะมีคุณค่าเมื่อบุคคลนั้นรู้จักสร้างสรรคุณงามความดีให้เกิดขึ้นและมีขึ้นเช่นเดียวกันกับชีวิตมนุษย์ของเรา
เธอจงมองดูดวงเทียนและประคับประคองมันไว้ในขณะเดียวกันต้องฟันฝ่าอุปสรรคเจออุปสรรคมากมายมีแรงลมหลายทิศทาง
ดวงเทียนดวงนี้อาจมีค่ายิ่งกว่าใครบางคนที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่รู้จักสรรสร้างคุณงามความดีให้มีขึ้น
เยาวชนทั้งหลายแสงสว่าง
จะสว่างไสวที่สุดและมีค่าที่สุดคือแสงสว่างที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืด
เสียงที่ดังที่สุดคือเสียงที่ดังก้องกังวาลท้ามกลางความเงียบ
ธรรมจะมีค่าก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นตกอยู่ในความทุกข์และความมืดแสงสว่างจะมีค่าก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นอยู่ในความมืด
( กลอน เธอทั้งหลาย ดวงเทียนนี้ที่เธอเห็น….. )
เยาวชนทั้งหลาย ในขณะเดียวกันที่ดวงเทียนถูกจุดขึ้น ดวงเทียนถูกเผาไหม้
ให้ผู้ที่อยู่ในความเหน็บหนาวไส้เทียนนี้ถูกไหม้พร้อมกับแท้งเทียนสั้นลงๆน้ำตาเทียนก็หลั่งไหลออกมาหยาดหยดลงอาบแท่งเที่ยนแท่งนี้
( กลอน
เปลวเทียนละลายแท่ง เพื่อเปล่งแสงอันอำไพ
ชีวิตคนมลายไป เหลือสิ่งใดทิ้งไว้แทน
เปลวเทียนที่ทอแสง สว่างแจ้งทำลายตน
เปรียนเช่นเยาวชน สลายตนเพื่อความดี
เยาวชนทั้งหลาย…..
ดวงเทียนแห่งชีวิตเปรียบเสมือนชีวิตของใครบางคนที่ในขณะเดียวกันให้ชีวิตเธอออกมาเลี้ยงดูเธอมา
มอบแสงสว่างให้กับเธอตลอดออกมา แต่ในขณะเดียวกัน
ชีวิตเลือดเนื้อได้รับความทุกข์ความลำบากอุปสรรคปัญหามากมาย
ชีวิตยิ่งสั้นลงๆ เนื้อตัวก็ยิ่งเหี่ยวเฉาก้าวไปสู่ความตาย
บุคคลนี้ที่จะกล่าวถึงคือ คุณพ่อ คุณแม่
ครูบาอาจารย์ของเราบุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนบุคคลผู้ให้ชีวิตเราเปรียบเสมือนผู้ให้แสงสว่างให้เลือดเนื้อ
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปรียบเสมือนแท่งเทียนที่ถืออยู่ในมือ นั่นคือ
แท่งเทียนแห่งชีวิต
ฉะนั้นเธอทั้งหลาย จงประคับประคองมันอย่าให้ดับหรือมอดไหม้ก่อนเวลาอันสมควร
(กลอน น้ำตาเทียนที่หลั่งริน ก่อนจะสิ้นซึ่งดวงเทียน…)
เยาวชนทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือน
บุคคลที่ให้เเสงสว่างกับเธอมาตลอด
ตั้งเเต่เธอเกิดมาได้มีคุณพ่อคุณแม่คอยอุปถัมภ์เลี้ยงดู
ให้ลูกหญิงลูกชายได้มีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุขได้มีความเป็นอยู่เทียบเท่ากับบุคคลมากมายในสังคมเติบโตขึ้นมาก็มีครูบาอาจารย์เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่สองคอยเลี้ยงดูคอยชี้ทางสว่างนำบนเส้นทางที่จะก้าวไปให้กับศิษย์ทั้งหลายให้วิชาความรู้
ให้ลูกศิษย์รู้จักอ่านตัวออกบอกตัวได้ใช้ตัวเป็น
บุคคลเหล่านี้เป็นแสงสว่างแห่งเทียนแท่งนี้ที่ถืออยู่ในมือ
เยาวชนทั้งหลายยังมีอีกคนหนึ่ง
บุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งสัตว์โลก
แสงสว่างแห่งแผ่นดินไม่ว่าบุคคลนี้จะอยู่ ณ สถานที่แห่งใด
หลายครั้งที่จะต้องเผชิญปัญหาในสังคมไทยในปัจจุบันนี้
บุคคลนี้เป็นผู้ที่เผชิญปัญหา กล้าคิด กล้าทำ หล้าตัดสินใจ
ออกมาปกป้องผืนแผ่นดิน บุคคลนั้นคือ พ่อหลวงของเรา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นศูนย์รวมของดวงใจของไทยทุกดวง
ในพระบรมราโชวาทของพระองค์แต่ละครั้งเป็นการตรัสให้ลูกหลานไทยมีจิตสำนึก
มีความกตัญญูต่อผืนแผ่นดินที่ตนอาศัยอยู่
กว่า70 พรรษาข องการมีพระชนชีพ พระองค์ไม่มีเวลาได้พักผ่อน
ตั้งแต่วันที่พระองค์ขึ้นครองราช พระองค์ได้ตรัสกับพสกนิกรปวงชนชาวไทยว่า
"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงชนชาวสยามทุกหมู่เหล่า"
ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา ทุกย่างก้าวพระบาทที่พระองค์เสด็จไป
ถึงแม้ว่าหยาดพระเสโทจะหลั่งจะหลั่งไหลออกมาจากพระวรกาย
พระองค์ท่านไม่ทรงท้อพระหฤทัยในการเสด็จไป
เป็นโครงการหลายร้อยโครงการที่อยู่ในพระราชหฤทัยของพระองค์
เป็นโครงการที่นำเอาความสุข ความร่มเย็น
ความเพียบพร้อมมาให้กับลูกหลานไทยและพสกนิกรปวงชนชาวไทยที่อยู่ใต้บรมพฤกษ
พระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ใต้การปกครองของพระองค์
นี่คือความตั้งใจ ปณิธานอันเด็ดเดี่ยวของพระองค์


จุดเทียนอุดมการณ์
เยาวชนทั้งหลาย พ่อหลวงของเราไม่มีเวลาได้พักผ่อน
พระองค์ทำเพื่อใครทำแล้วได้ประโยชน์อะไร
เพราะชีวิตของพระองค์เหลืออีกไม่กี่พระชันษา(พรรษา)เท่านั้นที่จะต้องลาลับจากโลกนี้ไป
พระองค์กระทำเพื่อลูกหลานไทยเท่านั้นเอง
เราในฐานะที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย
เราเคยคิดที่จะตอบแทนบุคคลผู้ที่รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้และคิดที่จะตอบแทนผืนแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่บ้างหรือไม่
ก็สุดแล้วแต่เธอ วันนี้และปีนึ้ โอกาสนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่เราจัดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้
ส่วนหนึ่งได้มาจากกำลังใจส่วนหนึ่งได้มาจากแรงบัลดาลใจมาจากพ่อหลวงพระองค์นี้
เป็นแรงใจในการทำงานตรงนี้วันนี้เราจะแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผืนแผ่นดิน
ต่อเจ้าของแผ่นดิน เราจะร่วมกันน้อมถวายดวงใจของพวกเรา ร่วมกันพัฒนา
สร้างสรรคุณงามความดีเพื่อปกป้องแผ่นดิน กอบกู้คุณธรรมให้กลับคืนมา
เยาวชนทั้งหลาย พ่อหลวงของเราไม่มีเวลาได้พักผ่อน พระองค์ทำเพื่อใคร
ทำแล้วได้ประโยชน์อะไรเพราะชีวิตของพระองค์เหลืออีกไม่กี่พระชันษา(พรรษา)เท่านั้นที่จะต้องลาลับจากโลกนี้ไป
พระองค์กระเพื่อลูกหลานไทยเท่านั้นเอง
เราในฐานะที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย
เราเคยคิดที่จะตอบแทนบุคลผู้ที่รักษาผืนแผ่นดินและคิดจะตอบแทนผืนแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่บ้างหรือไม่
ก็สุดแล้วแต่เธอ วันนี้และปีนี้
โอกาสนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่เราจัดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้
ส่วนหนึ่งได้มาจากกำลังใจ
ส่วนหนึ่งได้มาจากแรงบันดาลใจมาจากพ่อหลวงพระองค์นี้
เป็นแรงใจในการทำงานตรงนี้
วันนี้เราจะแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผืนแผ่นดิน ต่อเจ้าของแผ่นดิน
เราจะร่วมกันน้อมถวายดวงใจของพวกเรา ร่วมกันพัฒนา
สร้างสรรคุณงามความดีเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน กอบกู้คุณธรรมให้กลับคืนมา
เยาวชนทั้งหลาย เราจงชูดวงเทียนของเราขึ้นสู่เศียรเกล้า
เราจะร่วมกันร้องเพลงเพลง…ภูมิแผ่นดิน…ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านพร้อมเพรียงกัน
(กลอน) องค์ภูมิพลราช อติชาติพร
อาทิตย์ทองสว่างแล้ว ดับสูญ
พระจันทร์กระจ่างแจ่มจำรูญ ลับฟ้า
น้ำพระทัยพระเพิ่มพูน แพรวพร่าง
แสงไม่ลับอ่อนล้า ไม่สิ้นสูญสลาย
ส่องสว่างลงกลางใจมืดสลัว
อบอุ่นทั่วแก่ดวงใจ ที่เหน็บหนาว
โปรยฉ่ำเย็นเป็นกำลังลงพร่างพราว
แก่ดวงใจ เจ็บร้าว ของแผ่นดิน
แผ่นดินธรรม ทรงครอง ฉลองราชย์
ไทยทั้งชาติ เกษมสุข ทุกที่ถิ่น
ห้าสิบปี พระเสโท โถมถั่งริน
จวบแผ่นดิน เปล่งประกาย ดังพรายทอง
แผ่นดินทอง แผ่นดินไทย ใต้เบื้องบาท
ประชาราษฎร์ รวมใจ เฉลิมฉลอง
ขอพระองค์ ทรงเจริญ ในครรลอง
คงสิริราชย์ แผ่นดินทองนิรันดร์เทอญ ฯ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า…….ขอถวายพระพร
ทีฆายุโก โหตุ…. ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยิ่งยืนนาน
(กลอน)เอาความดีเป็นแกนกลางทางชีวิต
เอาความคิดเป็นเครื่องช่วยอำนวยผลเอาแรงกายเป็นกลไกภายในตน
นี่แหละคนมีคุณค่าราคางาม
เยาวชนทั้งหลาย วันนี้เราได้น้อมถวาย
ดวงใจของพวกเราทั้งหลายแก่พ่อหลวงของเราซึ่งเป็นบุคลที่ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อผืนแผ่นดิน
เสียสละ ยอมสละประโยชน์สุขส่วนพระองค์
เพื่อประโยชน์สุขของบุคลทั้งหลายมีความกรุณาอันยิ่งใหญ่
มีบุคลเทียบเท่าพระองค์น้อยเหลือเกิน
จะมีบุคลผู้มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตา
กรุณาต่อบุคลผู้อาศัยบนผืนแผ่นดินนี้ ต่อสัตว์ทั้งหลาย ต่อ
ชาวไทยทั้งหลายมีน้อยเหลือเกิน มีแต่บุคลที่คอยแก่งแย่งชิงดี
มีแต่บุคคลที่คอยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คอยเอารัดเอาเปรียบ คอยข่มเหงกัน
ไขว่คว้าหาความสุขใส่ตัวกันส่วนมากโดยไม่มองดูบุคคลที่อยู่รอบข้าง
เราทั้งหลาย วันนี้เรามีดวงเทียนถืออยู่ในมือ
เปรียบเสมือนดวงเทียนแห่งแสงสว่าง นั้นคือ ..ดวงเทียนแห่งธรรมะ
เหมือนบ่งบอกว่า
เธอทั้งหลายน้อมรับแสงสว่างแห่งธรรมะที่คณะอาจารย์ได้หยิบยืนให้พวกเธอทั้งหลาย
(กลอน)เปลวเทียนทีแกวงไหวเหมือนใบอ้อ ยามลมล้อเอนพริ้วปลิวไสว
หนึ่งนาที ดวงเทียนแปรเปลี่ยนไป เหมือนวันใหม่หมุนเวียนพ้นเปลี่ยนมา
เปลี่ยนวันใหม่เปลี่ยนวัยใจไม่เปลี่ยน จะจุดเทียนคุณธรรมกำหนดผล
ทำความดี กอบเกื้อเพื่อทุกคน จะทำตนอุดมการณ์ในด้านดี
วันนี้ใหม่เริ่มต้นใหม่เป็นคนใหม่ จะทำสิ่งใด จงยึดหลัก แห่งศักดิ์ศรี
จงครองตนครองงาน สานไมตรี จงช่วยชี้ทางธรรมปวงประชา
ดวงเทียนน้อยน้อยหลายร้อยดวง ดูโชติช่วง งดงามอร่ามแสง
เปรียบดวงใจน้อยน้อยหลายร้อยแรง ได้พบแสงแห่งธรรมอันอำไพ
เทียนแท่งน้อย รวมไว้หลายร้อยดวง ดูโชติช่วงลุกโพลงสว่างไสว
เปรียบดวงใจ ดวงน้อยหลายร้อยใจ ดูยิ่งใหญ่เปี่ยมล้น ด้วยพลัง
ดวงเทียนน้อยๆ หลายร้อยดวง ดูโชคช่วงงดงามอร่ามแสง
แสงสว่างอันนี้เป็นแสงสว่างที่พระองค์ปรารถนาเหลือเกิน นั่นคือ
แสงสว่างแห่งความดี แสงแห่งอุดมการณ์เพื่อที่จะทำ
เพื่อผืนแผ่นดินประเทศชาติบ้านเมืองของตัวเอง
พระองค์ตรัสไว้ว่า ในสังคมไทยของเรา การอยู่ร่วมกันในสังคม
ความดีเท่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำทำทุกคน ทำพร้อมกัน
ทำอย่างไรหยุดหย่อน ถ้าหากหยุดไม่ยอมทำต่อ ความชั่วจะเข้ามาแทนที่
ความดีเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและเป็นสิ่งที่ผืนกับความต้องการ
ผืนกับกระแสของความชั่ว ต่อเมื่อมีความดีนำมาซึ่งความสุข
เป็นพระบรมราชโชวาท ตรัสให้กับพสกนิกรชาวไทยได้ถือประพฤติปฏิบัติ
บัดนี้ เธอทั้งหลายได้รับเอาแสงสว่างที่พระอาจารย์หยิบยื่นให้
หลายคนเหมือนจะบอกว่า อุดมการณ์ของหลายคนกำลังเกิดขึ้น
เดินตามรองเท้าขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เยาวชนทั้งหลาย
ในขณะเดียวกันแสงสว่างอันนี้ที่กระจัดกระจายอยู่เธอลองสังเกตดูแสงสว่างมันมีน้อยนิด
ถ้าหากว่าถูกแรงลมโหมกระหน่ำมาจากทิศใดทิศหนึ่งหรือทั้ง ๔ ทิศ
ดวงเทียนที่กระจัดกระจายอยู่คงไม่สามารถต้านทานแรงลมได้ แต่ถ้าหากว่า
ได้นำดวงเทียนที่ถืออยู่ในมือมาหลอมรว มกันไว้เป็นหนึ่งเดียว
เพื่อให้แสงสว่างได้มีพลัง เพื่อต้านทานแรงลมที่โหมกระหน่ำเข้ามา
แสงสว่างอันนี้คงเป็นประโยชน์ต่อสายตาพร้อมขับไล่ความมืดให้จางหาย
มอบความอบอุ่นให้กับผู้ที่อยู่ในความเหน็บหนาว
พร้อมท้าทายอุปสรรค์และปัญหาได้
เยาวชนทั้งหลาย ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกับแสงสว่างแห่งดวงเทียนที่ถือ
อยู่ในมือ ในบางครั้งชีวิตคนเราต้องเจออุปสรรค์และปัญหา
ดวงเทียนดวงเทียนนี้เช่นกัน ต้องเจออุปสรรค์ คือ แรงลม แต่ในขณะเดียวกัน
ขอให้เธอจงก้าวไปถือเอาคุณงามความดีมาเป็นแกนกลางให้กับชีวิตของตัวเอง
(เพลง)
(กลอน) วันเปลี่ยนคน เกิดเป็นคนควรสร้างค่ามาต่อเติม
สิ่งใดเพิ่มดีหรือชั่วถามตัวเอง
เยาวชนทั้งหลาย (กลอน) พวกเธอต้องก้าวไปในโลกกว้าง
ไปเพื่อสร้างความดีอย่างที่หมาย
เหนื่อยอยากเพียงใดจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังพระอาจารย์อยากเปรียบพวกเธอเหมือนกับดวงไฟดวงนี้ดวงไฟที่ฉายส่อง
มีนบ่งบอกว่า ชีวิตของเยาวชนกำลังเติบโตขึ้น
เพื่อนำพาสังคมไปสู่ความเจริญก้าวหน้าต่อไป
เยาวชนทั้งหลาย พวกเธอจงก้าวไป
(กลอน)เพราะเธอคือ ดวงใจที่ฉายส่อง เพราะเธอคือ ครรลองที่มุ่งหมาย เพราะเธอคือ
เปลวเทียนที่ละลายแท่งเพื่อเปล่งแสงอันอำไฟ …ชีวิตไร้สาระขนาดนี้
ยังไม่สายที่จะแก้ไข แม้ชีวิตเหลือน้อยสักเพียงใด
ชีวิตไร้สาระขณะนี้ ยังไม่สายเกินที่จะแก้ไข
แม้ชีวิตเหลือน้อยลงเพียงใด ควรภูมิใจที่ได้ทำดีทัน
มีคนเห็นหรือไม่เป็นไรเล่า ควรเลือกเอาความดีที่สร้างสรรค์
ใครจะเห็นหรือไม่ไม่สำคัญ ใจเรานั้นรู้ว่าเท่านี้พอ
ต้นไม้ให้ความร่มรื่นแก่ชีวิต นกตัวนิดให้เสียงเพลง แก่โลกหล้า
ดอกไม้น้อยยังให้ความชื่นบานตา แม้ต้นหญ้าก็ยังให้อ๊อกซิเจน
แล้วตัวเราที่เกิดมาในโลกนี้ ทำสิ่งดีใดไว้ให้โลกเห็น
กินนอนเล่นเท่านั้นหรือที่ทำเป็น ไม่ดีเด่นกว่าบรรดาต้นหญ้าเลยฯ
เยาวชนทั้งหลาย ในยามที่เหน็ดเหนื่อยท้อแท้
ในยามที่เจอปัญหาเข้าในเข้าในชีวิต เธอจงคิดถึงบุคคลคนหนึ่ง
คุณพ่อคุณแม่ของเธอ คิดถึงครูอาจารย์ คิดถึงเพื่อน
คิดถึงกิจกรรมในค่ำคืนนี้ที่ได้สร้างสรรร่วมกันบุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนแสงสว่างชี้นำชีวิตของเธอ
ดวงเทียนที่เธอนำมารวมกันไว้ บ่งบอกให้รู้ว่า .. กิจกรรมที่ทำในวันนี้
ได้ความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ ต้องอาศัยกำลังมากมาย
กิจกรรมจะเสร็จสิ้นเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยการร่วมแรงร่วมใจจากบุคคลหลายฝ่าย
เสียสละทั้งกำลังความคิด กำลังกาย
คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมาย
(กลอน) ทุกคนเกิดมาทั้งหญิงชาย รู้ดีถึงความหมาย..
เปรียบเสมือนดวงไฟฉายส่อง นำทางชีวิตของเราให้ได้พบกับความสำเร็จ
เพราะชีวิตครู บางคนเปรียบบางคนเปรียบครูเป็นช่างหม้อที่เพียรก่อเศษธุรีอันไม่มีค่า
ให้มีค่ามีความหมาย เป็นหม้อวิเศษ
ประจักษ์แก่สายตาของคนมากมายเป็นหม้อที่มีค่าให้คนทั้งหลายได้รองน้ำไว้ดื่มกิน
ครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง เปรียบครูไว้หลายสิ่งหลายอย่าง
ครูเปรียบเสมือนนักรบ เป็นแบบอย่างแห่งจิตวิญญาณจิตสำนึกหลายอย่าง
ถึงแม่ว่าเส้นทางยจะกันดาล อุปสรรค์มากมายไกลแสนไกล ครูก็ไปถึง
เพื่อนำพาผองชนให้ก้าวเดินต่อไป
เยาวชนทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เธอจงไปทดแทนบุคคลเหล่านี้ พ่อแม่ของเรา
คือครูบาอาจารย์ คือแบบอย่างคือครูที่ดีของเรา ที่เราควรตอบแทน
ถ้าเธอหากเธอได้นำแสงสว่าง นำเอาธรรมะ
ที่คณะพระอาจารย์หยิบยื่นให้ไปใช้ในสังคมไปมอบให้กับสังคม
สังคมเริ่มพบกับความหวัง เริ่มพบแสงสว่าง จงไปทำกับบุคคลที่อยู่ใกล้
สังคมจะน่าอยู่ยิ่งกว่าดวงเทียนที่เอามารวมกันไว้
ท้าทายอุปสรรค์แรงลมสวยสดงดงามอย่างแท้
ก่อนที่เปลวเทียนจะสิ้นสุดลง มันคงบ่งบอกหลายสิ่งหลายอย่างกับเราได้เป็นข้อคิด
ขออนุโมทนากับพวกเธอทุกคน ที่วันนี้ต่างมีจิตใจมุ่งมั่น
แสงสว่างที่เอามารวมกันไว้ตรงนี้ มันได้บ่งบอกหลายสิ่งหลายอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแตกต่างกับที่มันกระจัดกระจายกันอยู่
เพราะดวงเทียนที่กระจักกระจายกันอยู่ ไม่สามารถต้านทานแรงลมหรืออุปสรรค์
แต่ถ้า หากว่าเอามารวมกันแรงลมโหมกระหน่ำสักเพียงใดก็ไม่หวั่นไหว
ไม่ท้อแท้ พร้อมกับลุกโชดช่วงงดงามยิ่งนัก
นะโม ๓ จบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น