7/17/2554

การเรียนรู้ตลอดชีวิต

Management # 66
การเรียนรู้ตลอดชีวิต
(Lifelong Learning)


แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์การศึกษา
เกิดขึ้นเมื่อประมาณกว่า 30 ปีมาแล้ว ภายใต้ความพยายามของ OECD UNESCO
และสภายุโรป (Council of Europe)
เป็นการสนองต่อความบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีต
ในขณะที่บุคคลเรียนรู้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
โอกาสทางการศึกษามีขีดจำกัดในช่วงเริ่มแรกของชีวิต
ที่ครอบงำโครงการศึกษาที่เป็นทางการ (Formal Education)
จึงมีความจำเป็นที่จะให้โอกาสที่สองแก่คนที่ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น
การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่เพียงหมายถึงการศึกษาผู้ใหญ่ (Adult Education)
เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการเรียนรู้ทุกรูปแบบตลอดช่วงชีวิตอีกด้วย
บทความชิ้นนี้นำเสนอความหมายเชิงนโยบายที่ตรงประเด็นของแนวคิด
"การเรียนรู้ตลอดชีวิต"

อะไรคือคุณลักษณะพิเศษของแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องมีมุมมองแบบองค์รวม (Comprehensive View)
ที่ครอบคลุมกิจกรรมการเรียนรู้ทุกด้าน
โดยมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงความรู้และความสามารถในการแข่งขันของบุคคล
ที่ปรารถนาเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้คุณลักษณะ 4
ประการของแนวคิดการเรียนรู้ ได้แก่
1. มีมุมมองอย่างเป็นระบบ
สิ่งนี้คือคุณลักษณะที่พิเศษที่สุดของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
กรอบแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตของอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply)
ของโอกาสการเรียนรู้ ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มีความเชื่อมโยงกัน
ซึ่งครอบคลุมวงจรชีวิตทั้งหมด และประกอบด้วยรูปแบบ ต่าง ๆ
ของการเรียนรู้ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
2. มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการเปลี่ยนจากมุ่งเน้นด้านอุปทาน
(Supply) เป็นศูนย์กลาง ในรูปแบบการจัดการศึกษาเชิงสถาบันที่เป็นทางการ
ไปสู่ด้านอุปสงค์ (Demand) ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก

3. มีแรงจูงใจที่จะเรียน
ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ที่มีความต่อเนื่องตลอดชีวิต
ทั้งนี้ต้องมุ่งเน้นที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ที่ตนเองเป็น
ผู้ชี้นำ
4. มีวัตถุประสงค์ของนโยบายการศึกษาที่หลากหลาย
มุมมองวงจรชีวิตที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการศึกษาที่หลากหลาย อาทิ
การพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนาความรู้ วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรม และการจัดลำดับความสำคัญของวัตถุประสงค์เหล่านี้
อาจเปลี่ยนไปใน แต่ละช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง

ทำไมการเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญ
พลังผลักดันที่สำคัญทางสังคม
เศรษฐกิจจำนวนมากสนับสนุนแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตกระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของการทำงานและตลาดแรงงานและโครงสร้างอายุประชากร
เป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อความจำเป็นที่จะต้องมีการยกระดับทักษะการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง
ความต้องการก็เพื่อ Treshold
ที่ยกระดับของทักษะเช่นเดียงกับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในธรรมชาติของทักษะ
แรงกระตุ้นของกิจการเพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นส่งผลต่อสภาพการทำงาน
มีแนวโน้มที่จะมีการจ้างงานระยะสั้นในตลาดสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาดได้ง่าย
และวัฎจักรสินค้าที่สั้นลง
งานอาชีพลดลงและบุคคลประสบกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องงานดีขึ้นในช่วงชีวิตทำงาน
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างกว่างขวางกำลังคุกคามขั้วใหม่ระหว่างสิ่งที่ความรู้มีและสิ่งที่ความรู้ไม่มี
ในทางกลับกันสิ่งนี้อาจคุกคามรากฐานของประชาธิปไตยด้วยโอกาสในการฝึกอบรมในภายหลังนั้น
ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแต่ละบุคคลที่ข้ามาสู่การจ้างงาน
และโอกาสการเรียนรู้เปิดกว้างแก่ ผู้ว่างงาน
ลูกจ้างในสถานประกอบการขนาดเล็ก
และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมกลับยิ่งน้อยกว่าลูกจ้างในสถานประกอบการขนาดใหญ่มาก
ความไม่เท่าเทียมกันนี้ (Disparities)
สะท้อนช่องว่างรายได้ระหว่างผู้มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
และผู้ที่ไม่มีวุฒิดังกล่าว และช่องว่างนั้นยิ่งกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
การลงทุนในการศึกษาแะการฝึกอบรมที่จะสนองต่อยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตก็เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางสังคมและเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนบุคคลผู้ประกอบการ
และเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
สำหรับบุคคลแล้วการเรียนรู้ตลอดชีวิตมุ่งเน้นที่การสร้างสรรค์ การริเริ่ม
และความรับผิดชอบ ซึ่งส่งผลให้เกิดการตอบสนองต่อตนเอง
งานที่ดีขึ้นรายได้ที่เพิ่มขึ้น นวัตกรรมใหม่ ๆ
และเพิ่มความสามารถในการผลิตมากขึ้นด้วย
ทักษะและศักยภาพของแรงงานเป็นปัจจัยหลักในผลงานและความสำเร็จของสถานประกอบการ
สำหรับเศรษฐกิจ
แล้วมีความสัมพันธ์ที่สนับสนุนกันระหว่างการได้รับการศึกษาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอะไรคือผลเชิงนโยบายของแนวคิดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าสู่และผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
นอกเหนือจากสิ่งที่เป็นทางการ
ดังนั้นกิจกรรมการเรียนรู้ของวัยรุ่นและผู้ใหญ่จึงอยู่นอกเหนือขอบเขตที่มีการบันทึกไว้
นอกจากการวัดเชิงปริมาณแล้วประเด็นเชิงคุณภาพและความก้าวหน้าของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบโครงสร้างเชิงสถาบัน เชิงกฎหมาย
และเชิงนโยบาย เอื้อต่อการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ดีอย่างไร

แผนภูมิที่ 1 การมีส่วนร่วมในการศึกษาและการฝึกอบรมในช่วงชีวิตของประชากร
ในกลุ่มประเทศ OECD
ร้อยละของประชากรที่เข้าศึกษาแบบเป็นทางการ (อายุระหว่าง 3 – 29 ปี )
และเข้าร่วมในการศึกษาผู้ใหญ่และการฝึกอบรม (อายุระหว่าง 16 – 66) ปี ใน
18 ประเทศ, 1998

ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม แคนาดา สาธารณรัฐเชค เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เยอรมัน
ฮังการี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส
สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา
ที่มา: OECD Education Database and International Adult Literacy Survey Database

แผนภูมิที่ 1 แสดงให้เห็นการเข้าสู่การศึกษาที่เป็นทางการ
และการมีส่วนร่วมในการศึกษาผู้ใหญ่และการฝึกอบรม
(การมีส่วนร่วมบางครั้งของผู้ที่มีอายุระหว่าง 16 - 65
ปีก็มีช่วงระยะเวลากว่า 12 เดือน)
แผนภูมิดังกล่าวชี้ให้เห็นผลของความพยายามของ 18 ประเทศในกลุ่ม OECD
ที่ได้ทุ่มเทมาตลอด 3 ทศวรรษ ในการจัดการศึกษาและการฝึกอบรม
ประชากรเกือบทั้งหมดจบการศึกษาระดับมัธยม ในจำนวนนี้ร้อยละ 50
เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
และประชากรที่เป็นผู้ใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมกับการศึกษาที่ไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตามยังคงมีช่องว่างเกิดขึ้น จากการเก็บข้อมูลในช่วง 12
เดือนที่แสดงในแผนภูมิที่ 1 ชี้ให้เห็นว่า 2 ใน 3
ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศส่วนใหญ่ของ OECD
ไม่ได้เข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้น
ช่องว่างใหญ่ที่สุดอยู่ที่ปลาย 2 ด้าน ได้แก่
เด็กเล็กและผู้ใหญ่ที่สูงวัย
ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศในกลุ่ม OECD นั้น
น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเด็กเล็กเข้าร่วมโครงการก่อนวัยเรียนก่อนวัย 4 ขวบ
เด็กก่อนวัย 3 ขวบที่เข้ามาร่วมก็แตกต่างกันมากในแต่ละประเทศ
ประเทศส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดการศึกษาในวัยเด็กเล็กได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งยังคงต้องปรับปรุงการเข้าถึงบริการด้านการศึกษาเหล่านี้
รวมถึงการยกระดับคุณภาพ
และการกำหนดแนวทางที่โครงการก่อนวัยเรียนจะอยู่ในรูปแบบของหุ้นส่วนกับครอบครัวของเด็กเหล่านี้
สำหรับประชากรผู้ใหญ่นอกระบบการศึกษา
มีปัญหาใหญ่ในเรื่องการขาดทักษะและความสามารถของแรงงานในกลุ่มประเทศ OECD
จากการสำรวจของ International Adult Literacy Suevey (IALS) 1 ใน 4
หรืออาจมากกว่านี้ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ มีทักษะอยู่ในระดับต่ำสุด
การเข้าถึงการฝึกอบรมเพื่อทำงานมีแนวโน้มเกิดความไม่เท่าเทียมกันในการสำเร็จการศึกษา
ยิ่งกว่านั้นระบบการศึกษาที่เป็นทางการ
ถ้าไม่สนับสนุนก็ไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของวัยแรงงานและผู้สูงอายุ
มีปัญหาเกิดขึ้นในการจัดการศึกษาระดับมัธยมและอุดมศึกษาเช่นเดียวดัน
ที่ระดับมัธยมนั้นกลับไม่มีความก้าวหน้าในรอบ 30
ปีที่ผ่านมาในผลการยกระดับการศึกษา
ในระดับอุดมศึกษาการมีส่วนร่วมของคนหนุ่มสาวในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน
ตั้งแต่ร้อยละ15 ไปจนถึงร้อยละ 30
อย่างไรก็ตามหลายประเทศตื่นตัวที่จะขยายการมีส่วนร่วมในช่วง 2
ทศวรรษที่ผ่านมา
จากข้อมูลในแผนภูมิที่ 1 สามารถแบ่งประเทศต่างๆ ในกลุ่ม OECD ออกได้เป็น
4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประเทศ Nordic ที่มีการจัดการเรียนรู้ได้ยอดเยี่ยม
กลุ่มประเทศคานาดา สาธารณรัฐเช็ก เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และนิวซีแลนด์
ที่จัดการเรียนรู้ได้ดีแต่ยังคงมีช่องว่าง กลุ่มประเทศออสเตรเลีย
สวิสเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
ที่จัดการเรียนรู้ได้ไม่ดีนัก และสุดท้ายกลุ่มประเทศไอร์แลนด์ ฮังการี
โปรตุเกส และโปแลนด์ ที่จัดการเรียนรู้ใด้แย่มาก

จะนำยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตไปสู่การปฏิบัติได้อย่างไร
การเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ที่จะบรรลุผลได้ก็ต้องสร้างความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและต้องใช้เวลายาวนาน
ในขณะที่แนวคิดนี้ต้องได้รับการสนับสนุนและดำเนินการอย่างจริงจังจากฝ่ายการเมือง
ที่จะต้องบรรจุเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล
มีหลักฐานข้อเท็จจริงน้อยมากที่ชี้ให้เห็นว่ามีความจริงใจที่จะสร้างการเรียนรู้ที่เป็นระบบ
กรอบแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ให้ทิศทางที่ชัดเจนในการปฏิรูปนโยบาย
กรอบแนวคิดนี้เสนอให้มีการดำเนินการที่เป็นระบบใน 5 เรื่อง ดังนี้
1. ปรับปรุงการเข้าถึง คุณภาพ และความเป็นธรรมในการเรียนรู้
2. สร้างรากฐานที่มั่นคงด้านทักษะสำหรับทุกคน
3. ให้ความสำคัญกับทุกรูปแบบของการเรียนรู้
ไม่เพียงเฉพาะการศึกษาที่เป็นทางการ เท่านั้น
4. จัดสรรทรัพยากร และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรจากทุกภาคส่วน
สนับสนุนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นทุกช่วงเวลาในชีวิต
5. ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ปรับปรุงการเข้าถึง คุณภาพ และความเป็นธรรมในการเรียนรู้
ช่องว่างการเข้าถึงเป็นปัญหาหลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเด็กเล็กและโอกาสการเรียนรู้ของผู้ใหญ่
ซึ่งรวมถึงแนวคิดคุณภาพของโอกาสการเรียนรู้
ความหลากหลายของการจัดการเรียนรู้
ที่ระดับมัธยมนั้นการเพิ่มความหลากหลายและทางเลือกของวิธีการเรียนรู้
สามารถช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จการศึกษา
และเยียวยาความบกพร่องจากชั้นประถมได้
ความหลากหลายที่เพิ่มขึ้นนี้ยังช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียนของเยาวชนอีกด้วย
ซึ่งเป็นจุดพลิกผันสำคัญต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ที่ระดับอุดมศึกษาการเข้าศึกษาต่อจะเพิ่มขึ้น
หากความหลากหลายของระบบอุดมศึกษามีเพิ่มขึ้น
ความหลากหลายที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดได้หลายวิธี:
จัดการศึกษาที่ไม่จำกัดเฉพาะในมหาวิทยาลัย
จัดหลักสูตรระดับปริญญาระยะสั้น สร้างมหาวิทยาลัยวิชาชีพ
สนับสนุนมหาวิทยาลัยเอกชน ขายาโอกาสการเรียนรู้ทางไกล
และจัดหลักสูตรให้มีหลายระดับ
เป้าหมายของการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อทุกคนนั้น
ให้ความสำคัญกับการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการเรียนรู้
การขยายโอกาสทางการศึกษาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยลดความแตกต่างของอัตราการมีส่วนร่วมของกลุ่มที่มีความแตกต่างทางสังคมเศรษฐกิจโดยอัตโนมัติ
มีปัจจัยที่เป็นระบบอย่างมีนัยสำคัญของความไม่เท่าเทียมกันนี้
รวมไปถึงความเสี่ยงจากช่องว่างของโลกดิจิตอล(Digital Divide)
และวัฏจักรแห่งความเลวร้าย (Vicious Circle)
บุคคลที่มีการศึกษาดีเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ในช่วงชีวิตของพวกเขา
ความไม่เท่าเทียมกันเหล่านี้ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน
การให้แต่ละคนมีการศึกษาดีนั้นเป็นสิ่งจำเป็นประการหนึ่ง
ในพื้นที่ทางการศึกษาของเด็กเล็ก
ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อเป็นหลักประกันว่าเด็กเหล่านี้จะมีพื้นฐานที่ดีในการเจ้าสู่การศึกษาระดับถัดๆ
ไปที่จะไม่กลายเป็นกลุ่มด้อยโอกาสต่อไป
สำหรับผู้ใหญ่ในวัยแรงงานนโยบายที่เกี่ยวข้องต้องไม่มุ่งเน้นแต่เพียงโครงการฝึกอบรมพนักงานเท่านั้น
แต่ต้องให้ความสำคัญกับงานและสถานประกอบการด้วย
ในแนวทางที่สร้างบรรยากาศให้เกิดการพัฒนาความสามารถและการเรียนรู้
สถานที่ทำงานที่มีบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีสร้างได้หลายวิธี:
โครงสร้างที่มีการกระจายอำนาจและมีข่วงชั้นการบังคับบัญชาน้อย
ในรูปขององค์กรที่แบนราบ (Flat Organisation)
สนับสนุนให้พนักงานสามารถสะท้อนประสบการณ์ของตนได้ การใช้การผลิตเป็นทีม
(Team-based Production)
และเปิดโอกาสให้พนักงานให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อปัญหาใหม่ๆ ในการผลิต
ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตก่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยลดอุปสรรคต่างๆ
เพื่อเปิดโอกาสกว้างในการเรียนรู้
ยุทธศาสตร์นี้มีบทบาทสำคัญในการทำลายวงจรแห่งการเสียเปรียบ
และเพิ่มการสนับสนุนความเข้มแข็งทางสังคม
การปรับปรุงด้านความเป็นธรรมและลดต้นทุนระยะยาว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
และยังช่วยขยายการเรียนรู้ตลอดชีวิตสู่ทุกคนอีกด้วย
นโยบายนี้พุ่งเป้าไปที่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
สร้างเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ควบคู่ไปกับการสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ตลาดแรงงาน สังคม
และสิ่งแวดล้อม

สร้างรากฐานที่มั่นคงด้านทักษะสำหรับทุกคน
แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตเสนอกระบวนทัศน์ที่กว้างขวางด้านการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง
ที่ต้องการ ทั้งการเข้าถึงที่เปิดกว้างต่อบริการการศึกษา
แต่ยังต้องปรับปรุงแรงจูงใจของกลุ่มคนหนุ่มสาวเยาวชนที่จะเรียนรู้
และมีขีดความสามารถที่จะเรียนโดยอิสระ ทักษะขั้นพื้นฐาน
เป็นสิ่งจำเป็นต่อทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่
แรงจูงใจที่จะเรียนสร้างขึ้นได้หลายวิธีในระบบการศึกษาที่เป็นทางการ:
โดยเปิดโอกาสกว้างสำหรับการเรียนรู้ชั้นมัธยมปลายในที่ทำงาน
โดยโครงการอาชีวศึกษาที่หลากหลายและโอกาสรวมการเรียนในห้องเรียนกับการเรียนในที่ทำงาน
โดยเสริมสร้างความร่วมมือกับสถาบันต่างๆ นอกโรงเรียน
โดยการสร้างบรรยากาศการเรียนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(Learner-centered Pedagogy) โดยทำให้นักเรียนรู้สึก สนุกสนาน
และมีความมั่นใจในโรงเรียน
ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่จะได้แรงจูงใจเป็นอย่างมากอย่างมากจากการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับประสบการณ์ในอดีตและชีวิตของพวกเขา
เพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาที่แท้จริง ทางเลือก และสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้
ซึ่งต้องพัฒนาวิธีการให้ความรู้ที่ปรับให้เข้ากับสิ่งที่เขาต้องการ
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ความยืดหยุ่นของขั้นตอนต่างๆ
ซึ่งต้องปรับให้เข้ากับสภาพของผู้เรียนแต่ละคน

ให้ความสำคัญกับทุกรูปแบบของการเรียนรู้
การเรียนรู้มีหลายรูปแบบและเกิดขึ้นได้หลายวิธี
จากหลักสูตรที่เป็นทางการในโรงเรียนหรือวิทยาลัย ไปจนถึงประเภทต่างๆ
ของประสบการณ์ในครอบครัว ชุมชน และที่ทำงาน รูปแบบต่างๆ
ของการเรียนรู้ต้องรวบรวมขึ้นมาและได้รับการพิจารณา
โดยสอดคล้องกับเนื้อหาสาระ คุณภาพ และผลลัพธ์
มากกว่าเรื่องสถานที่และรูปแบบ
การให้ความสำคัญต่อสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นทางจิตวิทยาและเศรษฐกิจที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้
ประการแรก ให้ความสำคัญยิ่งขึ้นกับการเรียนระบบที่มีการให้วุฒิ
ซึ่งวุฒิบัตรเหล่านี้เป็นใบเบิกทางในการเรียนต่อและการทำงาน ประการที่สอง
เส้นทางที่ดีขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องการของสาขาการศึกษาต่างๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงทางตันในการศึกษา ประการที่สาม
ผู้เรียนต้องการเครื่องมือนำทางที่ดีขึ้น
ที่ให้เขาได้รับข้อมูลข่าวสารและการแนะแนวที่จำเป็น
ในการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากโอกาสการเรียนรู้ที่กว้างขวางขึ้น
ประการแรก คือ การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่ไม่เป็นทางการ
ที่สามารถลดต้นทุนการเรียนรู้ได้
โดยช่วยลดระยะเวลาการศึกษาและเพิ่มผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการมาตรฐานและผลลัพธ์ของการเรียนรู้
การเรียนรู้ดังกล่าวต้องสามารถประเมินได้
รวมถึงข้อตกลงด้านเทคนิคการประเมิน วิธีการและการให้หน่วยกิต
การพัฒนาเหล่านี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่กระตือรือร้นและเข้าร่วมอย่างจริงจังของผู้มีส่วนำด้ส่วนเสียที่กว้างขวาง
ในภาคส่วนต่างๆ ทางการศึกษา รวมทั้งพนักงานและสหภาพ
ประการที่สอง คือ
การวางรากฐานที่ดีกว่าในการเรียนรู้นอกเหนือจากการศึกษาภาคบังคับและระดับมัธยมปลาย
และขจัดทางตันทางการศึกษา (Educational Dead-ends) นั่นคือ
การจัดการกับอุปสรรคสำคัญๆ
ของการเสริมสร้างความเข้มแข็งการเชื่อมโยงต่างๆ:
ระหว่างการศึกษาทั่วไปกับอาชีวศึกษาในระดับมัธยมปลาย /
ระหว่างระดับมัธยมปลายก อาชีวศึกษา กับระดับอุดมศึกษา /
และระหว่างสถาบันที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยในระดับอุดมศึกษา
ประการที่สาม คือ การพัฒนาการศึกษาที่มีประสิทธิผลมากขึ้น
และระบบข้อมูลข่าวสารการจ้างงานและการแนะแนว
ที่ช่วยนักเรียนให้พบหนทางของตนเองควบคู่ไปกับเส้นทางการเรียน
เมื่อก่อนนี้ประเทศในกลุ่ม OECD ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้
มีการโจมตีในเรื่องวัตถุประสงค์ คุณสมบัติของคนในวงการ
และวิธีการจัดการเรียนการสอน
ในขณะที่มีจุดอ่อนและช่องว่างอย่างชัดเจนในการให้บริการแก่ผู้ใหญ่

จัดสรรทรัพยากร และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรจากทุกภาคส่วน
หน่วยราชการที่ปรารถนาจะนำยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตมาใช้
ต้องคำนึงถึงทรัพยากร 3 มิติ ประการแรก ความเพียงพอ
มีทรัพยากรเพียงพอหรือไม่ที่จะสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตประเภทต่างๆ
ในตลอดแต่ละช่วงเวลาของอายุ ประการที่สอง ประสิทธิภาพ
ทรัพยากรได้ถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ประการที่สาม
การสนับสนุนงบประมาณ หากต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น
ใครเป็นผู้จ่ายเพื่อทรัพยากรเหล่านี้
และต้นทุนและผลประโยชน์ได้กระจายไปเท่าเทียมกันหรือไม่
การเข้าร่วมในการเรียนรู้ที่สูงขึ้น หมายถึง
ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นด้วย ขึ้นอยู่กับต้นทุนต่อหน่วย
ค่าใช้จ่ายส่วนเกิน ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และอื่นๆ
แม้จะมีความลำบากในการประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
แต่ทุกกลุ่มควรได้รับการเสริมสร้างความสามารถเช่นเดียวกัน
ประเทศในกลุ่ม OECD
ใช้หลายวิธีการในการลดต้นทุนการจัดการและปรับปรุงเรียนรู้ อาทิ
การลดค่าใช้จ่ายในการสอนและบุคลากร
เพื่อทำให้โครงสร้างการจัดการสมเหตุสมผล เพื่อใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technologies:
ICTs) เพิ่มมากขึ้น และเพื่อดึงภาคเอกชนเข้ามารับผิดชอบให้มากขึ้น
ประเทศต่างๆ มอง ICTs ว่าเป็นหนทางที่มีประสิทธิผลสูงสุด
ในการเพิ่มและขยายการเข้าร่วมในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ในขณะที่สามารถลดต้นทุนอยุ่ในระดับที่พอรับภาระได้
หลายประเทศใช้บทบาทของภาคเอกชนและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
ในการสร้างโอกาสการเรียนรู้
เป็นวิธีที่ปรับปรุงประสิทธิภาพและขีดความสามารถ ในช่วงทศวรรษที่ 1990
การเข้าร่วมรับภาระในการจัดการศึกษาของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากมีแรงจูงใจอันแรงกล้าในการลงทุนในต้นทุนมนุษย์
ทั้งที่เป็นบุคคลและกิจการ
อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของตลาดทุนและการจัดการเชิงสถาบันก็ค่อยๆ
สลายแรงจูงใจนี้
แต่ละประเทศต่างก็ทดลองใช้กลไกทางการเงินเพื่อแก้ไขอุปสรรคเหล่านี้
ในการกระตุ้นการลงทุนทางการศึกษาของภาคเอกชน
ในระดับอุดมศึกษามีกลไกใหม่ๆจำนวนมากที่ให้ความมั่นใจกับผู้เรียนและผู้ให้การสนับสนุน
สำหรับผู้ใหญ่หลายประเทศกำลังทดลองตั้งสถาบันที่มีการร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ระหว่างภาคเอกชน แรงงาน และภาครัฐ

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน
เนื่องจากการเรียนรู้ตลอดชีวิตเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก
นอกจากกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้เรียนและครอบครัวของเขา
สถาบันการศึกษา และภาคสังคมต่างๆ
การประสานงานในการพัฒนานโยบายและนำนโยบายไปปฏิบัติเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จ
จากการศึกษาหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการดูแลให้การศึกษากับเด็กเล็ก
ชี้ให้เห็นความสำคัญต่อการประสานนโยบายการศึกษา สาธารณสุข
สังคมและครอบครัว
เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถข้าถึงบริการด้านการศึกษา
และสุขภาพที่มีคุณภาพ
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของนโยบายการศึกษา การอบรม
ตลาดแรงงาน และสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการการเรียนรู้ของผู้ใหญ่
รวมถึงประสบการณ์ที่ประเทศต่างๆ
พยายามรับมือกับความท้าทายในด้านการประสานงาน: ระหว่างกระทรวงต่างๆ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องทำงานร่วมกัน ระหว่างลูกจ้างแรงงาน
สหภาพแรงงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนานโยบายระดับชาติ
รวมถึงองค์กรท้องถิ่นที่เป็นผู้ให้บริการ
ระหว่างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนานโยบายท้องถิ่นและโครงการปฏิบัติต่างๆ


********************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น