7/16/2554

การบริหารจิตในชีวิตประจำวันตามแนวพุทธ

การบริหารจิตในชีวิตประจำวันตามแนวพุทธ
(สำหรับทบทวน)
C,Akap,M7Admin ..................................................................................................นายแพทย์เอกชัย
จุละจาริตต์
ทุก ๆ คนต้องศึกษาหาความรู้จนวาระสุดท้ายของชีวิต
เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลความรู้และความสามารถไว้ในความจำของตนเอง
สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการปฏิบัติงานและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ.
การศึกษาวิชาการทางโลก
มักจะมุ่งเน้นในเรื่องการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางวิชาการ(ทางโลก)ในความจำ
และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิต
เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัย ๔ และอื่น ๆ
สำหรับดับความทุกข์ทางร่างกายเป็นหลัก.
การศึกษาวิชาการทางธรรม
มุ่งเน้นในเรื่องการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ
และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการบริหารจิตของตนเอง
โดยการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
เพื่อให้พ้นความทุกข์ทางจิตใจ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น
และพัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ.
การศึกษาวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อม ๆ กัน
รวมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันไปด้วย จะทำให้ท่านมีประสบการณ์
มีความชำนาญ จนสามารถศึกษา ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
ทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป ซึ่งเป็นชีวิตที่ประเสริฐของท่าน.
เนื่องจากการการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน
ส่วนใหญ่มักจะมุ่งตรงไปที่การใช้ข้อมูลสติปัญญาทางโลกในความจำเป็นหลัก
และมีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมน้อยลง
จึงอาจเป็นเหตุให้การปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตมีกิเลสเจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำ
เป็นผลให้การทำงานขาดประสิทธิภาพ ผลงานไม่บริสุทธิ์ ไม่ยุติธรรม
และไม่มีคุณค่า ขณะเดียวกัน การดำเนินชีวิตก็มักจะไม่บริสุทธิ์
และอาจมีความทุกข์ทางจิตใจอยู่เสมอ.
เนื้อหาในบทความนี้
เป็นการแนะนำวิธีปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตโดยใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน
เพื่อไม่ให้มีกิเลสเจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำต่าง ๆ
จึงทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ มีความบริสุทธิ์ มีความยุติธรรม มีคุณค่า
ไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ
ซึ่งเป็นความสำเร็จของชีวิตทั้งทางโลกรวมทั้งทางธรรมไปพร้อม ๆ กันด้วย.
ประโยชน์ของการบริหารจิตแนวพุทธ
การบริหารจิต(จิตใจ)ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
เป็นวิชาการทางด้านจิต(จิตใจ)ที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา
ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้โดยง่าย ไม่เกี่ยวข้องกับความหลงเชื่อ.
เมื่อท่านได้ศึกษาและทดลองฝึกปฏิบัติดู จะได้รับผล
ภายในวินาทีที่ลงมือฝึกปฏิบัติ คือ จะมีความเบาสบาย สงบ
ไม่มีความทุกข์ภายในจิตใจ และจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นเรื่องของการใช้สติปัญญาของตนเอง.
ความทุกข์ทางจิตใจของท่านที่น่าจะพบได้บ่อยเมื่อเกิด
"ความเกินความพอเหมาะพอควร(นอกทางสายกลาง)" ในเรื่องต่าง ๆ เช่น
ความวิตกกังวล ความเครียด ความเหนื่อยอ่อน การพักผ่อนไม่เพียงพอ
ปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วย การเดินทาง ค่าใช้จ่าย ความอยากได้ อยากมี
อยากเป็น ความรัก ความหลงเชื่อ ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
ความโกรธ ความไม่เท่าเทียม ความเซง ความเบื่อหน่าย ความท้อแท้
ความพ่ายแพ้ ความไม่สมหวัง ความเสียใจ
ความไม่สบายใจที่เกินความพอเหมาะพอควร เป็นต้น.
ความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดจากความเกินพอดีในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าว
สามารถป้องกันและดับได้โดยง่าย ด้วยการปฏิบัติธรรมหรือบริหารจิตอย่างง่าย
ๆ ในชีวิตประจำวัน.
ในชีวิตประจำวัน การมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ
ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรม
จึงมีประโยชน์อย่างมากมายต่อท่าน
ทั้งด้านการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้ :-
ประโยชน์ด้านการปฏิบัติงาน
การจะบริหารจิตใจของตนเองได้ดีนั้น
ต้องศึกษาเรื่องสติและฝึกเจริญสติเป็นประจำ
จึงจะทำให้ท่านมีสติตั้งมั่น(มีความตั้งใจแน่วแน่)ในการปฏิบัติงาน
ไม่เผลอสติ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดและทำกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการงาน
จึงทำให้มีการคิด พิจารณา ทำความเข้าใจ จดจำ แก้ปัญหา วางแผนต่าง ๆ
ได้เป็นอย่างดี เป็นเหตุให้ผลของการปฏิบัติงานดีขึ้น
ตามกำลังความสามารถของข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำขณะนั้น.
ถ้าไม่มีสติในการทำงาน หรือมีสติน้อย ความคิดฟุ้งซ่านก็มักจะมากขึ้น
รวมทั้งมีการใช้เวลาไปคิดและทำเรื่องอื่นบ่อยขึ้น
ทำให้ความสามารถของสมองในการคิดพิจารณา การจดจำ และการปฏิบัติงานลดลง
ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน และผลของการปฏิบัติงานก็จะต่ำลงด้วย.
การฝึกบริหารจิตโดยการพยายามมีสติอยู่ตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน
จะทำให้สมองของท่านมีข้อมูลด้านสติมากขึ้น พอนานเข้า
สติในการปฏิบัติงานก็จะมีมากขึ้น ความฟุ้งซ่านก็จะลดลง
เป็นผลให้เกิดการพัฒนาความสามารถของการมีสติในการปฏิบัติงานดีขึ้นตามลำดับ
และผลของการปฏิบัติงานก็จะดีขึ้นด้วย.
เมื่อท่านมีสติมากขึ้น มีข้อมูลสติปัญญาทางวิชาการมากขึ้น
การปฏิบัติงานในเวลาต่อมาจะง่ายขึ้น
เพราะสามารถใช้ข้อมูลในความจำมาประกอบการพิจารณาและการปฏิบัติงานได้มากขึ้น
เป็นผลให้ความทุกข์ต่าง ๆ
ในเรื่องของการปฏิบัติงานและเรื่องที่เกี่ยวข้องลดลง.
การจะบริหารจิตได้ดีขึ้นนั้น
ต้องเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอย่างง่าย ๆ
และมีคุณค่าไว้ในความจำ
พร้อมทั้งมีสติในการใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดำเนินชีวิต
จะทำให้ท่านมีสติในการรู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด
รู้ว่าอะไรควรคิดและควรทำ รู้ว่าอะไรไม่ควรคิดและไม่ควรทำ.
ถ้าท่านมีสติในการไม่คิดชั่ว(ไม่คิดอกุศล)และไม่ทำชั่ว
คงมุ่งแต่การคิดดี(คิดแต่กุศล)และทำแต่ความดี
จะเป็นผลให้ท่านมุ่งหน้าไปในด้านของการปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบ
แทนที่จะเสียเวลาไปกับการคิดฟุ้งซ่าน การคิดและทำกิจที่เป็นอกุศล
ซึ่งเป็นผลร้ายต่อการปฏิบัติงานโดยตรง.
ประโยชน์ด้านการดำเนินชีวิต
การบริหารจิตของตนเอง จะเป็นผลดีต่อจิตใจดังต่อไปนี้ :-
๑. ส่งเสริมสุขภาพจิตให้มีความเข้มแข็ง
และอดทนต่อปัญหาและความยากลำบากต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในขณะดำเนินชีวิต รวมทั้งในยามเจ็บป่วย
โดยไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ เช่นเดียวกันกับการมีสุขภาพกายที่ดี
ทำให้สามารถต่อสู้กับภาระกิจทางกาย และโรคภัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี.
๒. ป้องกันความทุกข์ทางจิตใจ
เพราะเมื่อสมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ
สมองก็จะทำหน้าที่ในการใช้ข้อมูลดังกล่าว
เพื่อการป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจคล้ายอัตโนมัติ
ถ้ามีการศึกษาและฝึกฝนจนชำนาญ
เช่นเดียวกันกับการที่สมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกในเรื่องการป้องกันการบาดเจ็บของร่างกาย
ซึ่งสมองก็จะทำหน้าที่ได้เองคล้ายอัตโนมัติ ถ้าได้ศึกษาและฝึกซ้อมมาก่อน.
๓. รักษาความทุกข์ทางจิตใจ
เพราะเมื่อสมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ
สมองก็จะสามารถทำหน้าที่ในการใช้ข้อมูลดังกล่าว
เพื่อการรักษาความทุกข์ทางจิตใจที่กำลังมีอยู่ได้ทุกขณะที่ต้องการ
เช่นเดียวกันกับการที่สมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและใช้ข้อมูลดังกล่าวในการรักษาความทุกข์ทางกายที่เกิดขึ้นเมื่อต้องการรักษา
ซึ่งเป็นการพึ่งพาข้อมูลสติปัญญาของตนเอง.
๔. ฟื้นฟูจิตใจภายหลังการเจ็บป่วยและหลังจากมีความทุกข์
เพราะเมื่อสมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ
สมองก็จะทำหน้าที่ในการใช้ข้อมูลดังกล่าว
เพื่อทำการฟื้นฟูจิตใจได้อย่างรวดเร็วตามเจตนาของเจ้าของ.
สมองทำงานตามที่ท่านมีเจตนา
ในการทำกิจต่าง ๆ จะสังเกตว่า สมองจะทำหน้าที่ในการคิดและในการทำกิจต่าง
ๆ ตามที่มีเจตนา เช่น เมื่อเกิดมีเจตนาว่า จะเดินไปที่ใดที่หนึ่ง
สมองก็จะทำหน้าที่ในการควบคุมให้มีการเดินไปยังที่นั้น
ซึ่งเป็นการแสดงว่า สมองจะตอบสนองต่อความคิดที่เป็นเจตนาเสมอ.
ความเจตนาจึงมีอิทธิพลมาก เช่น บางคนคิดฆ่าตัวตาย ต่อมามีเจตนาฆ่าตัวตาย
ร่างกายก็ยังต้องตอบสนองความเจตนานั้นได้.
เมื่อรู้ชัดว่า สมองทำงานเช่นนี้เอง
จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะฝึกควบคุมความคิดและการกระทำต่าง ๆ
โดยการการตั้งเจตนา ตั้งใจ(มีสติ)
และมีความเพียรฝึกปฏิบัติธรรมตามที่ได้ตั้งเจตนาไว้.
ในช่วงเริ่มฝึกการมีสติทางธรรม สมองยังไม่มีข้อมูลด้านนี้มาก่อน
จึงมักมีสติไม่ต่อเนื่องนัก ทำให้มีการเผลอสติบ้าง คิดฟุ้งซ่านบ้าง
คิดและทำเรื่องอื่น ๆ บ้าง.
เมื่อมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ ไม่นานนัก
ก็จะเกิดความชำนาญ นั่นคือสมองทำหน้าที่ในเรื่องของสติทางธรรมได้ดี
สามารถทำตามเจตนาได้นานขึ้น และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.
การบริหารจิตเป็นเรื่องง่าย
เรื่องการบริหารจิตมีเนื้อหาน้อยมาก
ใช้เวลาศึกษาเพียงนิดเดียวก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้โดยง่าย
ไม่ต้องเสียเวลาในการฝึกฝนเป็นพิเศษ ไม่ต้องการสถานที่
ไม่ต้องกลัวเสียสติ และทุกท่านสามารถฝึกฝนตนเองในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย
ขอเพียงให้ดำเนินการตามแนวทางง่าย ๆ ดังนี้ :-
ในด้านการปฏิบัติงาน
๑. มีเจตนาว่า จะฝึกมีสติ(มีความตั้งใจ)ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจัง เช่น
ขณะปฏิบัติงานต่าง ๆ จะไม่เผลอสติ ไม่ไปคิดฟุ้งซ่าน
ไม่คิดและไม่ทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน.
๒. มีความเพียรในการฝึกฝนตนเองในการมีสติรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง
ๆ ให้อยู่กับเรื่องการปฏิบัติงานตลอดเวลา.
เมื่อท่านตั้งใจลงมือฝึกปฏิบัติตามเจตนาที่ได้กล่าวแล้วเป็นประจำด้วยความเพียร
ก็จะทำให้เกิดความชำนาญมากขึ้น
จนสามารถรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
ให้อยู่กับกิจที่ท่านเจตนากระทำอยู่ได้คล้ายอัตโนมัติ.
ในด้านการดำเนินชีวิต
ท่านควรฝึกตั้งเจตนาว่า "เราจะไม่คิดอกุศลและไม่ทำอกุศล
แต่จะคิดกุศลและทำกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ
และรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ" พร้อมทั้งมีสติคอยรู้เห็นว่า
ความคิดและการกระทำต่าง ๆ เป็นไปตามเจตนาหรือไม่ ถ้าเมื่อใดรู้เห็นว่า
ไม่เป็นไปตามเจตนาที่ตั้งเอาไว้ ก็ให้มีสติหยุดความคิดและการกระทำนั้น ๆ
ทันที เป็นผลให้จิตใจและการกระทำต่าง ๆ กลับมามีความบริสุทธิ์ทันที.
เจตนาหรือหลักธรรมดังกล่าว เป็นสรุปหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่า
"โอวาทปาฏิโมกข์".
หลักการสำคัญในการบริหารจิตนั้นง่าย
หลักการสำคัญในการบริหารจิตนั้นง่าย คือ จะต้องศึกษาธรรมสั้น ๆ ง่าย ๆ
แต่ตรงประเด็น และต้องฝึกปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ
เพื่อให้เกิดความชำนาญในการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิด
ให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีองค์ประกอบโดยย่อ ดังนี้ :-
๑. มีสติปัญญาเห็นชอบว่า
การบริหารจิตมีประโยชน์โดยตรงต่อการปฏิบัติงานและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ.
การเห็นชอบเช่นนี้ จะทำให้เกิดศรัทธาที่จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม
เพื่อการบริหารจิตใจของตนเองอย่างจริงจัง.
๒. มีสติจดจำหลักธรรมง่าย ๆ และทบทวนบ่อย ๆ ว่า
"เราจะไม่คิดอกุศลและไม่ทำอกุศล
แต่จะคิดกุศลและทำกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ
และรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ".
หลักธรรมดังกล่าวไม่มีการสงวนลิขสิทธิ์ ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย
ทุกอาชีพก็นำไปใช้ได้หมด.
๓. มีความเพียรที่จะมีสติ(ตั้งใจ)ในการรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ.
ทันทีที่รู้เห็นความคิดหรือการกระทำต่าง ๆ ไม่เป็นตามหลักธรรม(ในข้อ ๒)
ก็ให้หยุความคิดและการกระทำนั้น ๆ ทันที. เมื่อฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ
อีกไม่นานนัก สมองก็จะทำหน้าที่ได้เองคล้ายอัตโนมัติ.
หลักการตามข้อที่ ๑ คือการสร้างศรัทธาและเจตนาที่ถูกต้อง
หลักการตามข้อที่ ๒ คือจดจำข้อมูลหลักธรรม หลักการตามข้อที่ ๓ คือ
มีสติและมีความเพียรในการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม.
วิธีการในการบริหารจิตนั้นง่าย
การบริหารจิตอย่างถูกวิธีเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ไม่ต้องมีพิธีการ
ไม่ต้องมีขั้นตอน เพราะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา
ขอแต่เพียงให้ท่านเห็นคุณค่า(มีศรัทธา)อย่างจริงใจ แล้วมีความเจตนา
ความตั้งใจ และมีความเพียรอย่างจริงจังที่จะทำให้เกิดผลตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้
ในทันทีที่ลงมือปฏิบัติ.
วิธีฝึกบริหารจิตในด้านการปฏิบัติงานทำได้โดยง่าย กล่าวคือ
ในขณะปฏิบัติงานอยู่นั้น ให้ท่านฝึกตั้งเจตนาและทบทวนเจตนาว่า
จะฝึกมีความตั้งใจ
และฝึกมีความเพียรที่จะมีสติอย่างต่อเนื่องในการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิด
ให้มีการคิดและพิจารณาเนื้อหาของงานด้วยความตั้งใจ ไม่เผลอสติ
ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดและทำเรื่องอื่นใด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน.
เมื่อฝึกไปนานเข้า ท่านก็จะมีความชำนาญมากขึ้น
จนสมองสามารถทำหน้าที่ตามเจตนาได้เองคล้ายอัตโนมัติ.
วิธีฝึกบริหารจิตในด้านการดำเนินชีวิต คือ ในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน
ให้ฝึกตั้งเจตนาว่า จะมีความตั้งใจ
และมีความเพียรที่จะมีสติอย่างต่อเนื่องในการควบคุมความคิดและการกระทำต่าง
ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมง่าย ๆ ที่ได้กล่าวถึงแล้ว.
ในทันทีที่ท่านรู้เห็นว่า ความคิดหรือการกระทำต่าง ๆ
ที่ไม่ตรงตามหลักธรรม ก็ให้หยุดความคิดและการกระทำนั้น ๆ ทันที
ขณะเดียวกัน อย่างปล่อยให้มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นบ่อยหรือนาน
เพราะอาจเกิดความคิดฟุ้งซ่านที่เป็นอกุศลและทำอกุศลได้โดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากขณะเผลอสติไปคิดอยู่นั้น
มักจะไม่สามารถควบคุมความคิดให้เป็นไปตามเจตนาที่ตั้งไว้ได้.
ความคิดเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ
ตามธรรมชาติ ความคิดจะเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ เช่น
เมื่อใดคิดดี การกระทำทางกาย วาจา ใจ ย่อมดีไปด้วย
และความสุขสงบก็จะติดตามมา. เมื่อใดคิดชั่วการกระทำทางกาย วาจา ใจ
ย่อมชั่วไปด้วย และความทุกข์ก็จะติดตามมา ซึ่งตรงกับคำที่ว่า ใจเป็นนาย
กายเป็นบ่าว การกระทำต่าง ๆ จะดีหรือชั่วนั้น เกิดจากใจ(ความคิด คือ
องค์ประกอบของใจที่เป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ ).
การมีเจตนาใช้เวลาในการปฏิบัติไปทำกิจกรรมอื่น ๆ
ที่ไม่เกี่ยวข้องจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการคิดเสียก่อน.
ความคิดจึงมีอำนาจสูงสุดต่อการกระทำต่าง ๆ โดยตรง
แม้กระทั่งการคิดฆ่าและมีเจตนาสั่งฆ่าผู้ที่มีความคิดเห็นต่างลัทธิกับตนเป็นจำนวนแสนหรือเป็นล้านคนก็ยังสามารถทำได้.
เมื่อมีเจตนารู้เห็นความคิดก็จะสามารถรู้เห็นความคิด
ในชีวิตประจำวัน ท่านอาจจะไม่ได้สังเกตว่า การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา
ใจนั้น เกิดจากความคิด เพราะไม่ได้มีเจตนารู้เห็นความคิดมาก่อน.
ถ้าเป็นการคิดเรื่องที่ทำอยู่เป็นประจำและง่าย ๆ
ความคิดจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายอัตโนมัติ
เนื่องจากสมองทำงานด้วยความชำนาญ เช่น การทำกิจวัตรประจำวันได้แก่
การเดิน การเข้าห้องน้ำ การรับประทานอาหาร เป็นต้น.
ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดและไม่เคยทำมาก่อน หรือเป็นเรื่องยาก
สมองจะต้องใช้เวลาในการคิด เช่น การแก้เครื่องใช้ต่าง
การเดินทางไปในที่ที่ยังไม่เคยไป การทำงานเรื่องยาก ๆ เป็นต้น.
วิธีการที่จะรู้เห็นความคิดนั้นง่ายนิดเดียว เพียงแต่ตั้งเจตนาว่า
จะรู้เห็นความคิด พร้อมกับตั้งใจรู้เห็นความคิดอย่างจริงจังในขณะคิด
ก็จะรู้เห็นความคิดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
เพราะสมองทำหน้าที่ตามที่มีเจตนา. การระลึกว่า เมื่อกี้คิดอะไร
ก็จะรู้เห็นความคิดที่สมองได้จดจำเอาไว้ ซึ่งเป็นวิธีการง่าย ๆ
สำหรับการศึกษาเรื่องการรู้เห็นความคิดที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นได้ด้วย.
การรู้เห็นความคิดจึงจะทำให้สามารถบริหาร(กำกับและควบคุม)ความคิดได้
การที่จะควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ
ให้เป็นไปตามหลักธรรม ได้นั้น ก็ต่อเมื่อสามารถรู้เห็นความคิด
เพราะความคิดเป็นที่เริ่มต้นของการกระทำต่าง ๆ. ดังนั้น
เมื่อรู้เห็นและรู้ทันความคิดนั้น ๆ ว่า กำลังมีการคิดอกุศล
ก็ให้หยุดความคิดนั้น ๆ เสียทันที เช่น มีเจตนาอย่างจริงจังว่า
จะไม่คิดโดดร่มเพราะเป็นอกุศล ครั้นเมื่อมีการคิดว่า
จะโดดร่มเมื่อนั้นเมื่อนี้
ก็จะรู้เห็นและรู้ทันความคิดนั้นได้ในขณะที่มีสติ
พร้อมทั้งมีสติหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที การโดดร่มก็จะไม่เกิดขึ้น.
ในทำนองเดียวกัน การคิดอกุศลต่าง ๆ ต่อทางราชการ ต่อผู้บังคับบัญชา
ต่อผู้ร่วมงาน ต่อผู้มาติดต่องาน ต่อผู้รับบริการ การประจบสอพลอ
การผิดศีล ๕ การเบียดบังราชการ รวมทั้งการโกงกินตามน้ำและทวนน้ำ
ก็จะไม่เกิดขึ้น.
ถ้าไม่สามารถรู้เห็นและรู้ทันความคิด
ก็จะไม่สามารถควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมได้.
ดังนั้น การจะบริหารจิต
จึงเน้นที่การใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ
ทำการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามหลักธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน
และเมื่อใดที่ความคิดหรือการกระทำเป็นอกุศล ไม่ตรงกับหลักธรรม
ก็ให้มีสติหยุดความคิดนั้น ๆ เสีย ภายในวินาทีนั้นเลย
เพื่อความไม่ประมาท.
การควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมเป็นประจำ
จะทำให้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำมีมากขึ้นตามลำดับ
จนกลายเป็นนิสัย. ขณะเดียวกัน เมื่อมีการคิดและการกระทำต่าง ๆ
เป็นไปตามหลักธรรมอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลความจำด้านอกุศล(กิเลส)ที่จดจำไว้จะค่อยลดลงไป
เพราะข้อมูลด้านอกุศลในความจำที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือไม่ได้ทบทวนอยู่เสมอย่อมจะลดลงไปเรื่อย ๆ
เนื่องจากธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.
ยิ่งมีข้อมูลด้านอกุศลในความจำลดน้อยลง
โอกาสที่จะคิดด้วยข้อมูลด้านอกุศลย่อมลดน้อยลงไปด้วย.
เมื่อไม่คิดอกุศล จิตใจย่อมบริสุทธิ์ผ่องใส
ตามธรรมชาติ ขณะที่สมองของท่านไม่ได้คิดด้วยข้อมูลด้านอกุศลอยู่นั้น
จิตใจของท่านย่อมบริสุทธิ์ พร้อมทั้งมีความเบาสบาย(ปีติ)
และมีความสุขสงบ(ปัสสัทธิ)จากการไม่มีความทุกข์.
การคิดแต่กุศลจะทำให้จิตใจของท่านผ่องใส(ปราโมทย์)
การไม่คิดและไม่ทำอกุศล แต่คิดและทำกุศลให้ถึงพร้อมโดยไม่หวังผลตอบแทนใด
ๆ ด้วยความโลภ ย่อมทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส
ซึ่งเป็นความจริงที่ท่านสามารถพิสูจน์ได้ทุกเมื่อ.
ในขณะที่ร่างกายไม่ได้เจ็บป่วย
แต่จิตใจของกลับมีอาการขุ่นมัวหรือไม่บริสุทธิ์ผ่องใส
มักจะมีสาเหตุที่สืบเนื่องมาจากขณะนั้นกำลังมีความคิดที่เจือปนด้วยข้อมูลด้านอกุศลนั่นเอง.
ความอยากและความไม่อยากที่มีความพอเหมาะพอควรไม่ทำให้เกิดความทุกข์
ตามธรรมชาติของมนุษย์
จะต้องมีความรู้สึกอยากและไม่อยากติดตัวมาตั้งแต่เกิด.
ความอยากและไม่อยากจะผลักดันให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ได้ยาวนานและปลอดภัย
เช่น การอยากรับประทานอาหาร การอยากพักผ่อน การอยากมีชีวิตอยู่
การอยากมีความปลอดภัย การอยากช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ การไม่อยากอดอยาก
การไม่อยากเหนื่อย การไม่อยากเจ็บป่วย การไม่อยากตายก่อนกำหนดเวลา
การไม่อยากได้รับอันตราย เป็นต้น.
ความอยากและความไม่อยากที่พอเหมาะและพอควรจึงเป็นเรื่องปกติ
และเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามธรรมชาติของมนุษย์. ดังนั้น
ความอยากและไม่อยากย่อมทำให้มีความทุกข์ทางจิตใจบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ
ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นวิสัยที่มนุษย์ควรมี
และไม่จำเป็นต้องใช้หลักธรรมในการดับความทุกข์ประเภทนี้
เช่นเดียวกับความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ทางร่างกายในชีวิตประจำวันของคนปกติ
ที่เกิดขึ้นขณะหิวอาหาร ขณะปวดปัสสาวะ ขณะปวดอุจจาระนั้น
ไม่จำเป็นที่จะต้องบำบัดรักษาแต่ประการใด ถ้าไม่ก่อปัญหารุนแรง.
ความอยากมากจนเกินความพอเหมาะพอควร
ที่จะให้เป็นไปตามที่ตัวอยากและไม่อยากจึงเรียกว่า ความทะยานอยาก(ตัณหา).
เมื่อเกิดความคิดที่เป็นตัณหา(คิดอกุศล)
ความทุกข์ที่มากกว่าระดับปกติก็จะเกิดตามมาด้วย. การจะดับทุกข์ได้นั้น
ต้องดับที่หัวหน้า คือดับหรือหยุดความคิดที่เป็นอกุศลเสีย
ตัณหาก็จะดับไปทันที. ตัณหาก็คือความทะยานอยากที่จะให้เป็นไปตามความโลภ
ความโกรธนั่นเอง.
การฝึกเจริญสมาธิเพื่อหยุดความคิด
วัตถุประสงค์ของการฝึกเจริญสมาธิ คือ การฝึกสติอย่างเข้มข้น
เพื่อหยุดความคิดทุกรูปแบบ การฝึกหยุดความคิดทุกรูปแบบ
โดยการมีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ เพียงกิจเดียว
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกควบคุมความคิด.
ขณะที่มีสมาธิตั้งมั่นอยู่กับกิจที่กำหนดไว้ เช่น อยู่กับลมหายใจ
จะทำให้หยุดการคิดหรือไม่ไปคิดเรื่องอื่น และไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน.
ความคิดฟุ้งซ่านอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการคิดด้วยข้อมูลด้านอกุศลได้โดยง่าย
เนื่องจากขณะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น
จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้.
ให้ท่านฝึกทดลองเจริญสมาธิตามรูปแบบที่เคยฝึกปฏิบัติมาก่อน
เมื่อสมาธิมีความตั้งมั่นตามสมควร คือ ขณะที่มีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ
ที่มีเจตนากระทำอยู่ ก็จะไม่คิดเรื่องอื่นใด
รวมทั้งไม่ได้คิดฟุ้งซ่านด้วย. ภาวะที่จิตใจมีความตั้งมั่นดังกล่าวแล้ว
เป็นภาวะที่ท่านไม่มีการคิดโลภ คิดโกรธ และไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจ
เป็นภาวะของจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์
หรือมีภาวะนิพพานชั่วคราว.
ต่อไปให้ท่านทดลองลืมตาเจริญสมาธิ จะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า
ให้ผลเช่นเดียวกันกับการหลับตาทำสมาธิ เพียงแต่ว่า
อาจรู้สึกสงบน้อยกว่าการหลับตาเจริญสมาธิ
และมีโอกาสที่จะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้น.
การเจริญสมาธิอย่างถูกต้องตามหลักการในพระพุทธศาสนา
คือการฝึกมีสติในการกำกับและควบคุมความคิดอย่างจริงจังถึงขั้นหยุดความคิด
เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนเป็นอย่างดีเยี่ยมและอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ.
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกสมาธิจนมีความชำนาญคือ
จะสามารถหยุดความคิดต่าง ๆ
ที่ขัดแย้งกับหลักธรรมหรือหยุดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้ในทันทีที่ต้องการ.
หลักการและวิธีฝึกเจริญสมาธิอย่างง่าย ๆ
ท่านควรเลือกที่นั่งให้เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการฝึกเจริญสมาธิ ทั้งนี้
เพื่อป้องกันอันตรายจากการเผลอสติหรือหลับในแล้วพลัดตกลงมา.
ท่านควรฝึกนั่งตัวตรง ดำรงจิตมั่น ไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน
แต่ไม่ควรเร่งสติหรือตั้งใจมากเกินไป
จนเกิดความเครียดหรือมีอาการเกร็งไปหมด.
ท่านควรฝึกตั้งใจมั่น(มีสติ)ในระดับพอเหมาะพอดี(ทางสายกลาง) โดยสังเกตว่า
ขณะฝึกปฏิบัติจะต้องมีความรู้สึกเบาสบาย กล้ามเนื้อทั้งตัวมีความผ่อนคลาย
มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปล่อยวางทุกเรื่องให้หมด
คงเหลือแต่เพียงการรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ
ของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียวเท่านั้น.
เพื่อที่ท่านจะได้ฝึกเจริญสมาธิในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ
จึงควรฝึกเจริญสมาธิในท่าที่ท่านเคยนั่งตามปกติ
โดยไม่ต้องรอโอกาสที่จะนั่งขัดสมาธิกับพื้นตามรูปแบบที่นิยมกันในอดีตเสียก่อน
แล้วจึงค่อยฝึกเจริญสมาธิ.
ในกรณีย์ที่มีความพร้อมที่จะนั่งขัดสมาธิบนพื้นตามรูปแบบเดิม
ก็สามารถทำได้ตามอัธยาศัย.
การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องระวัง
เพราะอาจจะเผลอสติหรือนอนหลับไปได้โดยง่าย.
ท่านควรฝึกในท่านอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งก็ได้
ตามความเหมาะสมกับเหตุปัจจัย. การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนตะแคง
จัดว่าเป็นท่าที่เป็นทางสายกลางของอิริยาบถนอน คือ
จะไม่หลับง่ายเหมือนท่านอนหงาย และไม่ลำบากร่างกายเหมือนในท่านอนคว่ำ.
การเจริญสมาธิในอิริยาบถนอนจะช่วยให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนดีที่สุด
จึงเหมาะสำหรับใช้ในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นครั้งคราว.
การฝึกปฏิบัติธรรมในท่ายืน ในท่าเดิน และในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ
ไม่ใช่การฝึกเจริญสมาธิ ในที่นี้จัดว่าเป็นการฝึกเจริญสติ
เพราะต้องแบ่งสติไปใช้หลายด้าน เพื่อให้มีความปลอดภัย เช่น
ใช้ในการรับรู้ข้อมูลการทรงตัว การเดิน การคิด เป็นต้น.
การเจริญสมาธิทำให้เกิดการหยุดความคิด
จึงเป็นผลให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ
รวมทั้งไม่มีความทุกข์ ซึ่งเป็นภาวะของจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส.
หลักการสำคัญของการเจริญสมาธิ คือ
ให้ฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก
ซึ่งเป็นกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว
โดยไม่มีการใช้สมองไปในการนึกคิดเรื่องอื่นใด
ถ้าเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านหรือมีความคิดหรือมโนภาพแทรกขึ้นมาก็ให้หยุดเสีย
โดยการลืมตาชั่วคราวแล้วเจริญสมาธิต่อไป
หรือเร่งสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเป็นช่วงสั้น
ๆ ก็ได้ ความคิดหรือมโนภาพก็จะถูกตัดตอน.
วิธีฝึกเจริญสมาธิตามรูปแบบอานาปานสติสมาธิ
เป็นการฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว
กล่าวคือ พอลมหายใจผ่านเข้าตรงรูจมูก ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกว่า
ลมหายใจกำลังผ่านเข้า พอลมหายใจผ่านออกตรงรูจมูก
ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกว่า ลมหายใจกำลังผ่านออกตรงรูจมูก.
บางท่านที่ไม่เคยฝึกอานาปานสติสมาธิมาก่อน อาจจะรู้สึกว่า
การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเป็นของยาก
แต่ขอยืนยันว่า เมื่อตั้งใจฝึกฝนตนเองได้ไม่นานนัก
ก็จะกลับกลายเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ เหมือนกับการรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ
ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสต่าง ๆ นั่นเอง
เพียงแต่เป็นความรู้สึกสัมผัสที่เบา ๆ ว่า
มีลมหายใจผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเท่านั้นเอง.
เมื่อท่านฝึกได้สักระยะเวลาหนึ่ง ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า
การรับรู้ความรู้สึกสัมผัสที่เบา ๆ กลับกลายเป็นของดี
เพราะมีความละเอียดอ่อน มีความสงบทั้งใจและกาย มีความประณีต
มีความเบาสบาย(ปีติ) มีความสุขสงบ(ปัสสัทธิ) ไม่เครียด ไม่ต้องใช้ตาเพ่ง
ไม่ต้องใช้ใจเพ่ง ไม่เหนื่อยกาย ไม่เหนื่อยใจ ไม่ต้องใช้สมองมาก
ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับได้ดีที่สุด.
เมื่อท่านสามารถหยุดความคิดได้ดี
สมองก็จะทำหน้าที่เพียงแค่การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก
เพียงกิจเดียวเท่านั้นเอง จึงเป็นผลให้ร่างกาย
สมองหรือจิตใจได้รับการพักผ่อนด้วยความมีสติ.
ท่านไม่ควรเร่งสติ(เร่งความตั้งใจ)มากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด
เพราะจะทำให้สมองและร่างกายไม่ได้พัก และไม่ควรทำแบบสบายจนเกินไป
จนกลายเป็นความย่อหย่อน หรือง่วงนอน แต่ให้ตั้งอยู่ในความพอเหมาะพอดี.
ท่านไม่ควรฝึกเจริญสมาธินานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนร่างกายของตนเอง
และไม่ควรฝึกน้อยจนเกินไปกลายเป็นความเกียจคร้าน
คงให้ถือปฏิบัติตามทางสายกลาง คือ ความพอเหมาะและพอดีกับสภาพร่างกาย
จิตใจ เพศ อายุ ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ภาระกิจอื่น ๆ และเหตุปัจจัยต่าง
ๆ ในขณะนั้น.
ท่านที่เริ่มฝึกใหม่ ๆ
อาจรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก
ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกนั้น
จะสัมผัสเบา ๆ ที่รูจมูก. ถ้าประสงค์จะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น
ก็ควรหายใจให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วจะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น
จากนั้นจึงค่อย ๆ ผ่อนการหายใจให้กลับมาเป็นปกติ.
ขณะฝึกเจริญสมาธิ
ท่านควรพยายามฝึกให้มีสติตั้งมั่นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
เพื่อที่จะสามารถหยุดความคิดของท่านได้อย่างต่อเนื่อง.
ขณะที่ท่านสามารถหยุดความคิดไม่ให้ไปคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่นั้น
จิตใจของท่านจะว่างจากกิเลสและกองทุกข์
เข้าถึงภาวะนิพพานเป็นการชั่วคราว.
ปัญหาที่ผู้เริ่มต้นฝึกเจริญสมาธิพบและเป็นเหตุให้มักเลิกลาไป คือ
ไม่สามารถดับความคิดฟุ้งซ่านได้ดีสมกับความต้องการ. แต่อันที่จริงแล้ว
ยิ่งมีความคิดฟุ้งซ่านมากเท่าไร
ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ให้รู้เห็นชัดเจนว่า จะต้องฝึกเจริญสมาธิต่อไป
เพราะยังไม่สามารถควบคุมความคิดได้.
การเจริญสติเพื่อรู้เห็น กำกับความคิด และควบคุมความคิด
การฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของตนเอง
ทำการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่ตลอดเวลา(ใช้ประโยคย่อ
ๆ ว่า รู้เห็นและควบคุมความคิด หรือใช้คำว่า เจริญสติ)
จะทำให้มีการพัฒนาความสามารถในการบริหารจิตด้วยการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง
ๆ ทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามหลักธรรมได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันความทุกข์ก็จะลดลง
ความสุขสงบและความบริสุทธิ์ผ่องใสทางจิตใจก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย.
ความสามารถดังกล่าว
ขึ้นอยู่กับความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของตนเอง.
ถ้าท่านมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำไม่เพียงพอ
ก็จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ดีเท่าที่ควร
จึงทำให้ท่านมีความทุกข์หรือความคิดขาดหลักธรรมเป็นครั้งคราว
ตามแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น.
การจะป้องกันและหยุดความคิดที่เป็นอกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
ท่านจะต้องมีเจตนา มีความตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียรในการฝึกฝนตนเอง
ให้มีและให้ใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(รวมทั้งหลักธรรม)ในความจำอย่างว่องไว
ในการรู้เห็นการเริ่มต้นของความคิดที่มีข้อมูลด้านกิเลสเจือปน
และหยุดความคิดดังกล่าวอย่างรวดเร็วที่สุด.
เมื่อท่านฝึกสติเช่นนี้เป็นประจำ
ไม่นานนักก็จะสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
ได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายอัตโนมัติ เช่นเดียวกับความสามารถต่าง ๆ
ทางโลกที่ใช้ในชีวิตประจำวัน.
หลักการของการฝึกเจริญสติ
การเจริญสติ(เจริญสติปัญญาทางธรรม)เป็นเนื้อหาสำคัญของสัมมาสติในมรรคมีองค์
๘ และเป็นวิธีการสำคัญมาก ๆ
ที่ใช้ในการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่ไม่ได้เจริญสมาธิ.
คนไทยส่วนมากไม่ได้ศึกษาธรรมและไม่ได้ปฏิบัติธรรมในเรื่องสัมมาสติอย่างจริงจัง
จึงทำให้ความรู้ความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์มีน้อยกว่าที่ควรจะทำได้.
หลักการของการฝึกเจริญสติในที่นี้ คือ
การฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(รวมทั้งหลักธรรม)ที่มีอยู่ในความจำ
ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามข้อมูลดังกล่าว อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ต้องรอวัน เวลา และสถานที่.
เหตุที่ต้องฝึกเจริญสติ เพราะในชีวิตประจำวัน
ท่านจะไม่สามารถเจริญสมาธิได้ตลอดเวลา
จึงจำเป็นจะต้องเจริญสติในขณะทำกิจต่าง ๆ ไปด้วย
เพื่อการศึกษาและการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ
รวมทั้งการมีความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน
และการไม่มีความทุกข์ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจที่รุนแรง.
องค์ประกอบของการเจริญสติปัญญาทางธรรม
การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรม(เจริญสติ)เป็นกิจส่วนใหญ่ของการปฏิบัติธรรม
เป็นการเจริญวิปัสสนา(เจริญสติ)เพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ
ที่ท่านสามารถทดลองฝึกและพิสูจน์ผลของการฝึกได้ด้วยตัวเอง.
องค์ประกอบโดยย่อ ที่จะต้องตามฝึกมี ๓ องค์ประกอบ ดังนี้ :-
๑. ในชีวิตประจำวัน ให้ฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอยู่เสมอ คือ
มีส่วนหนึ่งของสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกอยู่เสมอเพื่อป้องกันความคิดฟุ้งซ่านและมีสติตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา(ไม่จำเป็นต้องทุกวินาที)
และฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติ
หรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ในการรู้เห็นความคิด
ถ้ารู้เห็นว่ามีความคิดที่เป็นอกุศล หรือขัดแย้งกับหลักธรรม
ก็ให้รีบหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที อย่ารอแม้แต่วินาทีเดียว.
๒. ฝึกพิจารณาธรรม ด้วยการศึกษาธรรมเพิ่ม ทบทวนธรรมเรื่องอริยสัจ ๔
รวมทั้งหลักธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ
ที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ โดยใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม
ที่มีอยู่ในความจำมาประกอบการพิจารณา.
๓. ฝึกใช้สติปัญญาทางโลก และสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน
วิธีเร่งรัดการบริหารจิตให้เป็นไปตามหลักธรรม
ขอแนะนำให้ท่านฝึกตั้งเจตนาอยู่เสมอ หรือสอนตัวเอง
หรือเตือนตัวเองตามหลักธรรมอยู่เสมอว่า
"เราจะมีสติไม่คิดและไม่ทำอกุศลทั้งปวง เราจะคิดและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม
โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ
และรักษาจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ
เพื่อให้เราห่างไกลจากอกุศลและความทุกข์อยู่ตลอดเวลา"
รวมทั้งมีความตั้งใจ และมีความเพียร
ที่จะฝึกรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามหลักธรรมดังกล่าววันละหลาย ๆ ครั้ง
จะทำให้ท่านสามารถเริ่มดำเนินชีวิตตามหลักธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ถ้าเป็นไปได้ ท่านควรฝึกประเมินผลของการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมวันละ ๒ -
๓ ครั้ง เพื่อช่วยเร่งรัดให้ท่านปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมได้อย่างจริงจัง.
ทุกครั้งที่รู้ว่าคิดหรือทำอกุศล ให้ตั้งใจมีเจตนาหรือตักเตือนตนเองว่า
"เราจะไม่คิดและไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป". ทั้งนี้
เพื่อสร้างเจตนาซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้ข้อมูลเจตนาเช่นว่านี้
มีอยู่ในความจำมากขึ้น. นาน ๆ เข้า
ท่านจะมีข้อมูลเช่นนี้ในความจำของสมองมากขึ้น
จนเพียงพอที่จะหยุดการคิดและการทำอกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ในอดีตเรานิยมใช้คำว่าอธิษฐานจิต ซึ่งนั่นก็คือความเจตนานั่นเอง.
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักธรรมนี้
แก่ที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน เป็นเวลา ๒๐ พรรษา
ก่อนที่จะทรงโปรดให้สวดปาฏิโมกข์(สวดศีล ๒๒๗ ข้อ)อย่างปัจจุบันนี้แทน.
ดังนั้น จึงเข้าใจว่า การมีสติปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมอย่างจริงจัง
ครบถ้วน และถูกต้องตามสมควร
จะสามารถพัฒนาความรู้สึกนึกคิดและความจำ(จิตใจ) รวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
ให้สูงขึ้นจนภาวะจิตใจมีความประเสริฐในระดับต่าง ๆ (อริยบุคคล).
วิธีฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะเดินทาง ขณะฟังบรรยาย
และขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ขณะดูรายการทางโทรทัศน์
ท่านควรฝึกมีสติตั้งอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ(ถ้าทำได้)
พร้อมกับฝึกมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง
ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่เสมอ.
การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเพียงอย่างเดียว
หรือมีสติอยู่ที่อิริยาบถและการเคลื่อนไหว
โดยไม่ตั้งใจใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง
ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรม ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่ครบสมบูรณ์
ทำให้ไม่สามารถป้องกันกิเลสและดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมครบตามองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการ
จะทำให้ความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมก้าวหน้าได้เร็วขึ้น.
หน้าที่ของผู้เริ่มฝึกปฏิบัติธรรม คือ จะต้องจดจำข้อมูลหลักธรรมให้ขึ้นใจ
และหมั่นทบทวนเจตนาที่จะฝึกฝนตนเองวันละหลาย ๆ ครั้ง
เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการรู้เห็นและควบคุมความคิดอย่างต่อเนื่อง
เป็นผลให้เกิดความเคยชิน
จนถึงขั้นเป็นนิสัยหรือเป็นวิถีทางในการดำเนินชีวิตตามปกติ.
การวางแผนการศึกษาและการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ
รวมทั้งการวางแผนการชีวิตเพื่อความก้าวหน้า ย่อมสำเร็จไปได้ด้วยดี
ถ้ามีสติคอยรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามหลักธรรมที่ได้กำหนดไว้.
การเจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติในชีวิตประจำวันเป็นสุดยอดของการบริหารจิต
ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านฝึกเจริญสติในขณะทำกิจต่าง ๆ ได้ประมาณ ๑
ชั่วโมง(หรือตามความเหมาะสม) สลับด้วยการฝึกเจริญสมาธิประมาณ ๓๐ - ๖๐
วินาทีหรือมากกว่า โดยไม่ต้องหลับตาก็ได้
เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ
จะได้ป้องกันร่างกายการล้าของสมอง
ซึ่งเท่ากับเป็นการพักและเป็นการเตรียมตัวที่จะปฏิบัติและดำเนินชีวิตอย่างมีสติเต็มที่ในชั่วโมงถัดต่อไป.
ทุก ๆ วัน ถ้าเป็นไปได้ ท่านควรหาโอกาสฝึกเจริญสมาธิอย่างจริงจัง
เพื่อการฝึกสติอย่างเข้มข้น ด้วยการฝึกเจริญสมาธิระยะยาววันละ ๑ - ๒
ครั้ง โดยใช้เวลาครั้งละ ๑๐ - ๓๐ นาทีหรือตามความเหมาะสม
จะเป็นที่บ้านหรือในที่ปลอดภัยก็ได้ เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติในความจำ
ให้มีความสามารถทางสติมากขึ้นอย่างรวดเร็ว.
การเจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
จึงเป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์ที่สุด
และเป็นสุดยอดของการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรม
เพราะสามารถทำได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่.
เมื่อฝึกฝนเป็นประจำ พอนานเข้า
สมองจะมีความสามารถในการทำหน้าที่ตามที่ได้ฝึกฝนเอาไว้จนคล้ายอัตโนมัติ.
ในช่วงแรกของการฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรเร่งรัดตนเองเป็นพิเศษ
เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอย่างรวดเร็ว
เพราะถ้าไม่เร่งรัด อาจพ่ายแพ้ความคิดที่เป็นอกุศล
ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เลิกลาการปฏิบัติธรรมไปได้โดยง่าย.
เมื่อฝึกอย่างจริงจังสักระยะเวลาหนึ่ง
ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำจะมากขึ้น ทำให้จิตใจเบาสบาย สงบสุข
และไม่ค่อยมีความทุกข์
เป็นผลให้มีความศรัทธาในการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อไป
ขณะเดียวกัน ความรู้และความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมก็จะมากขึ้นตามลำดับด้วย.
ความก้าวหน้าและการประเมินผล
ท่านควรฝึกสังเกตความก้าวหน้าของตนเองเองในเรื่องการใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวันว่า
ทำได้มากน้อยเพียงใด โดยสังเกตว่า มีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอยู่เสมอ
แล้วแบ่งสติมาทำกิจต่าง ๆ
รวมทั้งรู้เห็นและควบคุมความคิดในระหว่างทำกิจต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและด้านสติปัญญาทางธรรมอยู่เสมอหรือไม่
มากน้อยเพียงใด.
ท่านควรประเมินผลความสำเร็จซึ่งเกิดจากการพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ว่า
สามารถทำให้ความทุกข์จากปัญหาต่าง ๆ ลดลง
และทำให้สามารถดำเนินชีวิตตามหลักธรรม(โอวาทปาฏิโมกข์)ได้มากน้อยเพียงใด.
ถ้าการบริหารจิตของท่านไม่สามารถลดความทุกข์ลงได้กว่าที่ควร
หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นไปตามหลักธรรมได้ดีเท่าที่ควร
ก็มักจะพบว่า มีสาเหตุมาจากการมีความเพียรน้อยไป
ก็ควรพยายามที่จะเร่งความเพียรให้มากขึ้น แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่า
มีสาเหตุมาจากอะไร ก็ควรปรึกษาผู้รู้หลายท่านว่า
การศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมของท่านที่ผ่านมาถูกทางหรือไม่
เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้หมดไป.
ควรแสวงหาความรู้ในการบริหารจิตตลอดไป
เมื่อยังไม่ตาย ทุกคนควรศึกษาหาความรู้ไปทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป
เพื่อการศึกษา ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ.
สำหรับการศึกษาหาความรู้ทางธรรม ท่านควรศึกษาเรื่องอริยสัจ ๔
ซึ่งเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘
อย่างจริงจังต่อไปเรื่อย จนกว่าจะจบชีวิต.
อริยสัจ ๔ มีเนื้อหาน้อย
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกับใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้นเอง
แต่เมื่อนำไปปฏิบัติจะทำให้เกิดการพัฒนาจิตใจเพื่อการศึกษาและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ.
การแสวงหาความรู้จำเป็นต้องศึกษาจากผู้รู้หลาย ๆ ท่าน
อย่างเลือกศึกษาจากท่านเดียว
เพราะการศึกษาจากท่านเดียวที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้านั้น
อาจจะไม่ครอบคลุมทุกประเด็น นอกจากนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ
ที่คัดมาจากพระไตรปิฏกด้วย เพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงได้ด้วยตนเอง.
สรุป
แก่นธรรมของพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ ประกอบด้วยเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
ความทุกข์(ทุกข์) คือ ความไม่สบายใจทุกรูปแบบ
ซึ่งทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ตรงมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น.
สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย) คือ
ความคิดที่เป็นอกุศล(คิดด้วยความโลภและความโกรธ)
เพราะไม่มีความรู้ในอริยสัจ ๔ และไม่สามารถในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์
๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง(มีความหลงหรือโมหะหรืออวิชชา)
หรือมีกิเลส ๓ ตัว.
ความดับทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน) คือ ภาวะที่ไม่คิดอกุศล
จึงไม่มีความทุกข์. ถ้าดับความทุกข์ได้ชั่วคราว เรียกว่านิพพานชั่วคราว.
ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์(มรรคมีองค์ ๘) คือ
วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อดับความทุกข์. การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
โดยการเจริญสติสลับกับการสมาธิ ก็เพื่อไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศล
เพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องตามโอวาทปาฏิโมกข์.
ในชีวิตประจำวัน
ท่านควรฝึกบริหารจิตด้วยการฝึกเจริญสมาธิสลับกับการฝึกเจริญสติ.
การฝึกเจริญสมาธิก็เพื่อหยุดความคิด พักสมอง และพักร่างกาย.
การฝึกเจริญสติก็เพื่อการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามโอวาทปาฏิโมกข์
พร้อมทั้งให้เวลาในการศึกษา ทบทวน แก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยธรรม
รวมทั้งใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง
เพื่อพัฒนาจิตของตนเองให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ.
ข้อมูลของผู้เขียนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา
หนังสือของผู้เขียนที่วางขายทั่วไปในราคาถูก หรือ download ได้ฟรีทาง
website ซึ่งมี ๒ เรื่อง คือ ๑.
แนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรมเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์(อริยสัจ ๔
อย่างย่อ). ๒. แก่นธรรม(อริยสัจ ๔ อย่างเต็มรูปแบบ).
ถ้าซื้อจากผู้เขียนโดยตรง จะซื้อได้ในราคาทุน.
เทปธรรมชุด แก่นธรรม(อริยสัจ ๔) โดยผู้เขียน มีจำหน่ายแห่งเดียว คือ
ที่แผนกจำหน่ายหนังสือของมูลนิธิมหามกุฏฯ เยื้องพระอุโบสถวัดบวรฯ บางลำพู
กทม.
ติดต่อผู้เขียนทางอีเมล์: satipanya@yahoo.com
ดูรายการบรรยายธรรมของผู้เขียน และดูบทความต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการบรรยายหรือฝึกอบรมได้ที่ www.geocities.com/satipanya
หรือสอบถามรายการบรรยายธรรมทางจดหมายได้ที่ ๑๑๑ ซอยวัดอัมพวัน ถนนพระราม
๕ กทม. ๑๐๓๐๐.
**************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น